5 ยื่นมือช่วยสาวงาม
5
ยื่นมือช่วยสาวงาม
จากที่ตั้งใจว่าจะกลับตำหนักหนิงหวางไปตั้งหลักตระเตรียมการก่อน ทว่ายามนี้เฉินตงหยางร้อนใจเกินกว่าจะรั้งรออันใดได้อีก เขารีบควบม้าบึ่งเข้าวังหลวงอย่างรวดเร็ว
ดึกดื่นยามวิกาลเช่นนี้ทำเอาเหล่าองครักษ์และทหารมากมายต่างตื่นตระหนก กับการปรากฏตัวของอ๋องเฉินผู้สูงศักดิ์ ฮ่องเต้แคว้นฟู่ต้องรีบลุกออกจากเตียงทั้งๆ ที่อยู่ในชุดพร้อมเข้าบรรทม เมื่อหัวหน้าขันทีรายงานข่าวการมาเยี่ยมเยือนของเฉินตงหยางในเวลานี้
โจวจางเหว่ยเดินดิ่งตรงเข้าท้องพระโรงที่มีเฉินตงหยางยืนรออยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าหย่อนคล้อยตึงเครียดเพราะไม่รู้สาเหตุการขอเข้าพบเร่งด่วน
“ฝ่าบาท กระหม่อมกราบขออภัยที่มารบกวนเวลาบรรทมของพระองค์”
เมื่อเฉินตงหยางรับรู้ได้ถึงการมาของคนที่เฝ้ารอ เขาจึงรีบหันไปกล่าวขอโทษตามมารยาทด้วยท่าทางนอบน้อม
“ช่างเถอะ ว่าแต่ท่านมาหาข้าดึกดื่นป่านนี้มีเรื่องอันใด?”
แม้จะรู้สึกไม่พอใจที่ถูกรบกวนเวลาส่วนตัว ทว่าโจวจางเหว่ยกลับอยากรู้เหตุผลที่เฉินตงหยางถ่อมาถึงที่นี่เวลานี้มากกว่า มันต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ ไม่งั้นเขาคงไม่มาทั้งที่ยังใส่ชุดลำลองเช่นนี้หรอก
“เรื่องขององค์หญิงซูฮวา…”
เฉินตงหยางอึกอักไม่กล้าพูดต่อ เพราะรีบร้อนต้องการมาพบโจวจางเหว่ยเกินไป ทำให้เขาไม่ทันคิดถึงวิธีที่จะช่วยโจวซูฮวาออกจากคุก ที่คิดได้เวลานี้มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือแต่งนางเข้าจวน แต่นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เฉินตงหยางจะใช้ ทว่าตอนนี้มันกลับเป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดออก
“ทำไมรึ?”
เมื่อได้ยินเฉินตงหยางกล่าวถึงพระธิดา โจวจางเหว่ยยิ่งเกิดความฉงนเข้าไปใหญ่ สาเหตุที่อ๋องเฉินบุ่มบ่ามเข้าวังหลวงยามวิกาลเช่นนี้เกี่ยวอะไรกับโจวซูฮวาด้วย
“กระหม่อมไปคิดทบทวนดูแล้ว การเชยชมเรือนร่างสตรีโดยไร้ความรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่ชายชาตรีมิสมควรทำยิ่ง”
“…”
“ดังนั้นวันนี้กระหม่อมจึงรีบร้อนเข้าวังหลวงเพื่อมากราบทูลฝ่าบาทว่า กระหม่อมเฉินตงหยาง ปรารถนาจะอภิเษกองค์หญิงซูฮวาเป็นชายาพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินตงหยางโค้งคำนับพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทว่าใบหน้าที่ก้มลงมองพื้น กลับเต็มไปด้วยความหนักใจที่ซ่อนเอาไว้ไม่ให้คู่สนทนาเห็น
โจวจางเหว่ยแปลกใจในสิ่งที่ได้ยิน เพราะเหตุใดเฉินตงหยางซึ่งหนักแน่นในวาจาที่ลั่นเอาไว้เมื่อวันก่อน กลับโลเลเปลี่ยนใจง่ายเพียงเวลาผ่านไปข้ามวันเท่านั้น ผิดวิสัยโดยปกติจนดูมีพิรุธ
“ดี!! ดีมาก! มีลูกเขยเช่นเจ้าคงช่วยงานข้าได้มากทีเดียว”
แม้จะสงสัยกับการกระทำของอีกฝ่าย แต่โจวจางเหว่ยจะแสดงออกไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นใด เขาจำเป็นต้องปล่อยให้มันตามน้ำไปก่อน แล้วค่อยหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้ภายหลัง
บางทีการเก็บศัตรูคนสำคัญไว้ข้างกายใกล้ชิดขนาดนี้อาจเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ อย่างน้อยๆ ก็ข่มขวัญบรรดาอ๋องที่หวังจะฮุบบัลลังก์ มันอาจช่วยโจวจางเหว่ยได้บ้างไม่มากก็น้อย
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของกระหม่อม”
ความรู้สึกอึดอัดบรรเทาเบาบางลงเล็กน้อย เมื่อท่าทีของโจวจางเหว่ยดูไม่โมโหโกรธาอย่างที่เฉินตงหยางคาดคิด นั่นอาจเป็นเพียงภาพลวงตาแต่อย่างน้อยมันก็ไม่สร้างความกดดันให้เท่าไหร่
“ข้าจะรีบตระเตรียมงานสมรสพระราชทานให้ท่านก็ละกันนะอ๋องเฉิน ตอนนี้ก็กลับไปพักผ่อนที่ตำหนักหนิงหวางได้แล้วล่ะ ข้าเองก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน”
โจวจางเหว่ยขยับกายเข้าใกล้ว่าที่ราชบุตรเขยมากขึ้น วางมือแตะบ่ากว้างพร้อมตบเบาๆ สองสามที ทำท่าจะเดินผ่านไปเพื่อกลับตำหนักใหญ่ ทว่ากลับถูกคนที่อยู่ด้านหลังรั้งไว้เสียก่อน
“เอ่อ… ขออภัยฝ่าบาท กระหม่อมมีอีกเรื่องที่อยากขอความกรุณาจากพระองค์”
“เรื่องใดรึ?”
คนถูกรั้งหันกลับมาเผชิญหน้าคู่สนทนาอีกครั้ง ใบหน้าเริ่มมีแววความไม่สบอารมณ์แสดงให้เห็น แต่น้อยมากจนไม่อาจมองเห็นได้ถ้าไม่สังเกตให้ดี ทว่าเฉินตงหยางกลับรู้สึกถึงความไม่พอใจนั่นอย่างชัดเจน
“กระหม่อมอยากพบองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินตงหยางไม่อาจแน่ใจได้ว่าหลังจากเขากลับจวนแล้ว โจวจางเหว่ยจะปล่อยพระธิดาออกจากคุกหนาวเหน็บ และกว่าจะถึงวันงานอภิเษกนางอาจได้รับความทรมานกว่าเดิม
“มีเหตุผลใดต้องอยากพบธิดาข้าในยามนี้ ถึงท่านกับนางจะได้เสียกันไปแล้ว แต่อย่างไรมันก็ถือว่าเป็นเรื่องไม่สมควร”
โจวจางเหว่ยจะให้เฉินตงหยางรู้ไม่ได้ ว่าเวลานี้โจวซูฮวามิได้พักอยู่ในตำหนักแต่ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน
“ขอกราบทูลตามตรง กระหม่อมคิดถึงคำนึงหาองค์หญิงตั้งแต่เดินออกจากวังหลวงเมื่อเช้าวาน จิตใจว้าวุ่นสับสนอยากพบหน้านางยิ่ง ขอฝ่าบาทโปรดเข้าพระทัยผู้ที่ตกอยู่ในห้วงรักเช่นกระหม่อมด้วย”
รู้สึกกระดากปากสิ้นดีที่กล่าวออกมาเช่นนี้ มันขัดกับตัวตนแท้จริงของเฉินตงหยางมากโข ทำไมเขาต้องลงทุนทำอะไรเพื่อโจวซูฮวาขนาดนี้ด้วยนะ
โจวจางเหว่ยชะงักไปชั่วขณะ มีสิ่งเกินความคาดหมายเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งเรื่อง ยามปกติเฉินตงหยางเย็นชาเย่อหยิ่ง จู่ๆ กลับกลายเป็นบุรุษคลั่งรักมันดูขัดหูขัดตาชอบกล
แต่ก็พอเข้าใจได้ ก็ในเมื่อโจวซูฮวารูปโฉมสะคราญงดงามราวเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ จึงไม่แปลกหากผู้ที่ได้ยลนางจะตกอยู่ในภวังค์ความลุ่มหลง
ในเมื่อว่าที่ราชบุตรเขยกล้าเอ่ยปากขอถึงขนาดนี้ หากเขาปัดปฏิเสธดูท่าจะก่อให้เกิดความน่าสงสัย ก็มีแต่ต้องยินยอมตอบตกลงเพียงเท่านั้น
“ตกลง แต่ท่านต้องรออยู่ที่นี่ ข้าจะให้คนไปตามนางมาพบ”
เอ่ยจบโจวจางเหว่ยจึงเดินออกจากท้องพระโรง ส่งสัญญาณให้หัวหน้าขันทีที่ยืนรออยู่ด้านหน้าและได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เขารู้ว่าต้องทำสิ่งใดจึงโค้งรับคำสั่งและไปจัดการอย่างรวดเร็ว
โจวซูฮวาถูกพาตัวออกจากคุกมายังตำหนักตนเอง นางกำนัลมากมายจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เรือนกายสะโอดสะองในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา ผิวหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางบางเบาทว่ากลับงดงามอย่างไร้ที่ติ
เพียงกะพริบตาช้าๆ แพขนตางอนหนากลับสั่นไหว ไม่จำเป็นต้องลงสีชาดริมฝีปากอิ่มก็แดงระเรื่อราวมะเขือเทศสุก ผิวเนื้อขาวเนียนละเอียดดั่งผิวทารก นุ่มเด้งแม้สัมผัสเพียงปลายนิ้วเกลี่ยไล้ เรือนผมดำขลับยาวสลวยมีน้ำหนัก พลิ้วไหวตามแรงเคลื่อนขยับร่างกายดูน่ามอง
โจวซูฮวาเป็นสตรีที่เกิดมาพร้อมสมบูรณ์ในรูปลักษณ์ ได้อานิสงส์ความงดงามจากพระมารดา ซึ่งเป็นถึงองค์หญิงสูงศักดิ์จากแคว้นอัน ผู้ที่บุรุษทั่วล้าต่างมุ่งหมายครอบครอง
งามล่มเมืองถึงขั้นผู้มีอำนาจทุกแคว้นต่างพากันยกทัพมาแย่งชิง แต่สุดท้ายชัยชนะกลับตกเป็นของโจวจางเหว่ยฮ่องเต้แคว้นฟู่ผู้โหดเหี้ยมอำมหิต ได้ตัวนางมาเชยชมไม่ทันครบปี พอคลอดบุตรีก็สิ้นชีพจากไปในครานั้น
ใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วยามโจวซูฮวาก็กลับมางดงามดังเดิม ไม่เหลือเค้าคนที่พึ่งออกจากคุก ก่อนถูกพาเดินมาถึงท้องพระโรงโดยไร้คำอธิบายใดๆ แม้จะพร่ำถามแต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบ
โจวซูฮวาถูกทิ้งไว้ด้านหน้าลำพัง ยืนหันรีหันขวางมองรอบกายอย่างฉงนสงสัยอยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปด้านใน และพบเข้ากับร่างสูงคุ้นเคยกำลังนั่งรออยู่มุมหนึ่ง
“เฉินตงหยาง…”
นามของบุรุษที่คิดถึงสุดหัวใจหลุดจากริมฝีปากอิ่มแผ่วเบา ใบหน้าไร้ความสดใสเริ่มกลับมามีสีสันด้วยรอยยิ้มเล็กที่ขยับกว้างขึ้น ร่างบางเดินปรี่เข้าไปหาเฉินตงหยางอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะที่เขาหันหน้ามามองนางพอดี
“ท่านมาที่นี่ได้เยี่ยงไร?”
มือบางยกแตะท่อนแขนกำยำซึ่งวางพาดพนักวางแขนของเก้าอี้ ยังไม่ทันได้รับคำตอบ ร่างเล็กกลับถูกคว้ารวบดึงรั้งให้กึ่งนั่งกึ่งนอนลงบนตักแกร่ง
ใบหน้าคมครั่นคร้ามก้มต่ำประชิดดวงหน้าสวย ขณะที่ดวงตากลมใสเบิกค้างอย่างตื่นตกใจ ริมฝีปากหยักเคลื่อนขยับเข้าใกล้ใบหูแดงเห่อ กระซิบแผ่วเบาบอกบางสิ่ง
“เล่นตามข้า มีคนแอบดูพวกเราอยู่”
เฉินตงหยางถอนใบหน้ากลับมาจ้องสบตาโจวซูฮวาที่ตัวสั่นระริกในอ้อมอก แม้บัดนี้จะรู้เหตุผลการกระทำล่วงเกินใกล้ชิดนี้แล้ว ทว่านางกลับบังคับหัวใจให้หยุดสั่นไหวไม่ได้ มันเต้นโครมครามหนักหน่วง ยิ่งเมื่อใบหน้าของเฉินตงหยางอยู่ใกล้เสียจนรับรู้ได้ถึงแรงลมหายใจของกันและกัน
“อ้ายชิงไปหาท่านมาใช่หรือไม่?”
เพียงแค่ขยับริมฝีปากเอ่ยกระซิบราวกับว่ามันจะไปสัมผัสโดนกลีบปากอีกฝ่าย ระยะที่ใกล้ขนาดนี้สร้างความปั่นป่วนให้หัวใจดวงเล็กเหลือเกิน โจวซูฮวาจึงพยายามเอียงหน้าหลบระยะอันตราย ทว่าเฉินตงหยางกลับยกมือเชยคางมนและรั้งกลับให้มาเผชิญหน้ากับเขา
“อ้ายชิงคือนางกำนัลของเจ้าสินะ ข้าได้พบและรับรู้ทุกอย่างจากนางหมดแล้ว ยกแขนโอบลำคอข้าซะ”
ขณะกำลังพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เฉินตงหยางรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของบุคคลปริศนาที่แอบสังเกตการณ์อยู่ มันขยับกายเข้ามาใกล้มากขึ้น เขาจึงกลัวว่าการกระทำที่แสดงกันอยู่อาจไม่แนบเนียนพอ
“ห๊ะ?”
แม้คำสั่งจะถูกเอ่ยเสียงเบาแต่โจวซูฮวาก็ได้ยินชัดเต็มสองรูหู ทว่านางกำลังตกใจกับสิ่งที่เฉินตงหยางบอกจึงอึกอักไม่กล้าทำตาม
“เดี๋ยวนี้!”
เสียงทุ้มกดต่ำออกคำสั่งเด็ดขาด เรียวแขนเล็กจึงค่อยๆ ยกโอบรอบลำคอหนาด้วยท่าทีเงอะงะ เมื่อร่างเล็กในวงแขนยอมทำตามอย่างว่าง่าย เฉินตงหยางจึงรีบกล่าวต่อเพราะกลัวหมดโอกาสได้เอื้อนเอ่ย
“ฟังข้าให้ดี ทำตัวดีๆ อย่าก่อเรื่อง รักษาเนื้อรักษาตัวรอวันอภิเษก”
“ทะ ท่านหมายความว่าเยี่ยงไร?”
คำว่าอภิเษกทำโจวซูฮวาตาโตดั่งไข่ห่าน ไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงสิ่งใด แต่แค่รู้สึกไม่มั่นใจในสิ่งที่เฉินตงหยางพูดเฉยๆ เขายินดีจะแต่งงานกับนางจริงๆ งั้นหรือ?
“เป็นชายาข้านะ… ซูเอ๋อร์”
ประโยคนี้ไม่ใช่การกระซิบกระซาบบอกดั่งเช่นที่ผ่านมา เฉินตงหยางพูดเสียงดังฟังชัดจนคนที่แอบฟังอยู่ไม่ห่างมากนักได้ยินเต็มสองหู แล้วมีหรือคนที่อยู่ใกล้ไม่ถึงหนึ่งฝ่ามืออย่างโจวซูฮวาจะไม่ได้ยิน
มันดังก้องไปทั้งหัวใจดวงน้อย ราวกับมีเอคโค่สะท้อนอยู่ในโสตประสาทเป็นระลอกคลื่น หูอื้อตาลายสายตาพร่าเบลอไปหมด มีเพียงใบหน้าหล่อเหลาและถ้อยคำที่เขาพึ่งเอ่ยเท่านั้นที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง
ดวงตาชั้นเดียวหลุบต่ำมองริมฝีปากอิ่ม มันกวนใจเฉินตงหยางมาได้สักพักแล้ว เขาลอบกลืนน้ำลายไปหลายอึกโดยที่โจวซูฮวาไม่ทันสังเกต และบัดนี้อ๋องเฉินก็ไม่อาจทนความยั่วยวนโดยไม่ตั้งใจของนางได้อีกต่อไป
กลีบปากหยักได้รูปประทับลงบนริมฝีปากแดงระเรื่ออย่างรวดเร็ว คนถูกกระทำไม่ทันตั้งตัวเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนสัมผัสนุ่มละมุนที่ได้รับจะดึงสติของโจวซูฮวาให้หลุดลอย เปิดปากรับความเร่าร้อนพร้อมปิดเปลือกตาซึมซับความวาบหวาม
เฉินตงหยางไม่อาจควบคุมความรู้สึกประหลาดนี้ได้ เขากำลังลุ่มหลงในรสหวานของริมฝีปากอิ่ม ที่เคยได้ลิ้มลองเมื่อคราก่อนจนติดใจอยากลองลิ้มอีกหน มันหวานเสียจนสติสัมปชัญญะตื่นเตลิด กิเลสราคะเข้าครอบงำจิตใจแข็งแกร่งจนสิ้น
แต่ขณะที่ทั้งคู่กำลังจมลึกสู่ห้วงอารมณ์ บุคคลที่แอบดูแอบฟังและกำลังสนอกสนใจภาพที่เห็น ก็เผลอขยับกายจนเกิดเสียงดังจนเฉินตงหยางดึงสติกลับมาได้
ใบหน้าหล่อเหลาผงะถอยออก สายตาคมจ้องมองดวงตากลมใสฉ่ำเยิ้ม ริมฝีปากอิ่มบวมเจ่อจากการถูกบดคลึงโดยฝีมือเขา มันดูหลงใหลน่ามองจนหัวใจดวงใหญ่สั่นรัว
เฉินตงหยางตัดใจจากภาพตรงหน้าดันโจวซูฮวาให้ลุกขึ้นก่อนยืนตาม เขาประคองนางเพียงครู่ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทรงตัวยืนเองได้แล้วจึงละมือออก
“เจ้าพักผ่อนเถอะ เจอกันวันงานอภิเษก ข้ากลับก่อนล่ะ”
ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นเฉินตงหยางก็หันหลังสาวเท้าเดินจากไป โจวซูฮวาที่ถูกปล่อยทิ้งไว้เบื้องหลังจึงยกฝ่ามือเล็กสัมผัสหน้าอกด้านซ้าย มันเต้นโครมครามเสียจนนางกลัวว่าหัวใจจะหลุดกระดอนออกมาด้านนอก ทอดสายตามองแผ่นหลังกว้างจนลับสายตา
