1 แผนการอันแยบยล
1
แผนการอันแยบยล
เช้าวันถัดมา
“อ๋องเฉินไปไหน?”
‘โจวจางเหว่ย’ บุรุษผู้ครองบัลลังก์แคว้นฟู่ ฮ่องเต้ผู้น่าเกรงขามและมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เอ่ยถามถึงบุคคลที่เขายำเกรงที่สุดเมื่อมองหาไม่พบในท้องพระโรง
เหล่าบรรดาขุนนางมากมายที่มาร่วมปรึกษาหารือเรื่องราชกิจกันในวันนี้ มองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะต่างก็ไม่ทราบคำตอบเช่นกัน และในขณะที่กำลังทุกคนต่างเฝ้ารอคำตอบจากใครสักคน คนคนนั้นก็นำคำตอบเข้ามาให้ถึงที่
ร่างเล็กในอาภรณ์สีชมพูอ่อนวิ่งหน้าตาตื่นตรงไปยังท้องพระโรง ‘อ้ายชิง’ นางกำนัลพี่เลี้ยงคนสนิทที่อยู่ดูแลโจวซูฮวามาตั้งแต่เด็กๆ ตาลีตาเหลือกรีบคุกเข่าก้มหัวลงกับพื้นต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นฟู่ และบรรดาเหล่าขุนนางมากมายที่หันมามองทางนางเป็นตาเดียว
“บังอาจนัก! นางกำนัลต่ำต้อยเข้ามาเหยียบในท้องพระโรงโดยไม่ได้รับอนุญาตได้เยี่ยงไร?!!”
ขุนนางชั้นสูงผู้หนึ่งออกปากตวาดลั่น พร้อมปรี่เข้าหาอ้ายชิงเตรียมยกเท้าถีบยันร่างเล็ก ทว่าผู้มีอำนาจสูงกว่ากลับยั้งเขาเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว! นางเป็นนางกำนัลพี่เลี้ยงขององค์หญิง”
ขาซึ่งยกค้างไว้วางกลับลงบนพื้นตามเดิม หัวหน้าขันทีที่ออกปากกล่าวเมื่อครู่จึงพูดขึ้นต่อ
“เจ้าเข้ามาโดยพลการเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าหากไม่มีเรื่องด่วนสำคัญอาจถูกลงโทษได้?”
“ทราบเจ้าค่ะ ข้าน้อยทราบดี แต่ข้าน้อยมีเรื่องด่วนต้องมากราบทูลต่อฝ่าบาทจริงๆ รั้งรอไม่ได้”
อ้ายชิงเงยหน้ากล่าวตอบอย่างร้อนรน ทว่าอาการเดือดเนื้อร้อนใจเช่นนี้ล้วนเป็นการแสดงที่นางเตี๊ยมไว้กับผู้เป็นนายทั้งสิ้น
มันเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่โจวซูฮวาร้องขอให้นางกำนัลพี่เลี้ยง ลงทุนแสดงละครวิ่งหูตาเหลือกเข้ามาฟ้องพระบิดา เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักฮุ่ยหลิงเมื่อคืนนี้
ถึงหวาดกลัวบทลงโทษในการโกหกเบื้องสูงมากแค่ไหน แต่อ้ายชิงกลับตอบรับคำขอขององค์หญิงแทบจะในทันที ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่สิ...ในแคว้นฟู่ไม่มีผู้ใดเข้าใจโจวซูฮวาได้ดีเท่านางอีกแล้ว
อ้ายชิงอยู่กับโจวซูฮวามาตั้งแต่จำความได้ ด้วยความที่มีเชื้อสายของแคว้นอันเหมือนกัน ทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในสถานะเดียวกันคือเชลยในสายตาทุกคน
โจวซูฮวามักแบ่งปันของกินของใช้ให้อ้ายชิงบ่อยครั้ง ไม่เคยถือตัวแสดงอำนาจข่มเหงรังแก ซึ่งความจริงแล้วนางเป็นถึงองค์หญิงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้ ทั้งสองเปรียบเสมือนพี่น้องร่วมสายเลือด คอยดูแลซึ่งกันและกันมาโดยตลอด
แม้เป็นถึงองค์หญิงแคว้นฟู่แต่โจวซูฮวากลับโดนรังแกลับหลังอยู่เสมอ นางโดนอะไรมาบ้างทำไมอ้ายชิงจะไม่รู้ ความลำบากที่องค์หญิงของนางต้องเผชิญอ้ายชิงรู้ดีที่สุด ไม่มีใครช่วยเหลือโจวซูฮวาได้นอกจากอ้ายชิงคนเดียว
เวลานี้บุรุษที่ผู้เป็นนายของนางรักกำลังจะถูกส่งไปแต่งงานต่างแคว้น แน่นอนว่าอ้ายชิงต้องยื่นมือช่วยเหลือ ต่อให้สุดท้ายนางอาจถูกลงโทษก็ตาม
“ธุระสำคัญของเจ้าคือเรื่องใด?”
โจวจางเหว่ยแสดงสีหน้าฉงนสงสัย นางกำนัลของตำหนักพระธิดาที่ชอบสร้างแต่ปัญหาให้เขาปวดศีรษะไปวันๆ จะมีธุระกงการอะไรสำคัญมากมายได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เจ้านายของนางก่อขึ้น
“อ๋องเฉินเพคะฝ่าบาท”
เมื่อถูกถามอ้ายชิงจึงรีบโพล่งออกไปอย่างรีบร้อน ทำให้ประโยคฟังดูคลุมเครือไม่ชัดเจน
“อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินเกี่ยวอันใดด้วย?”
“คือยามนี้อ๋องเฉินอยู่ที่ตำหนักฮุ่ยหลิงเพคะ”
“แล้วเขาไปทำอะไรที่นั่นเช้าขนาดนี้?”
“อ๋องเฉินอยู่กับองค์หญิงที่ตำหนักตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเพคะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ?!”
ร่างใหญ่ในอาภรณ์ลายมังกรสีทองอร่ามลุกพรวดจากบัลลังก์ ดวงตาดุดันจ้องเขม็งมายังนางกำนัลตัวจ้อย ที่นั่งสั่นงันงกอยู่กับพื้นด้วยความหวาดกลัว
“เมื่อคืนองค์หญิงส่งเทียบเชิญให้ท่านอ๋องมาร่ำสุราสานไมตรี เพราะอยากเป็นสหายกับท่านอ๋องเพคะ”
“แล้วทำไมนางต้องอยากเป็นสหายกับอ๋องเฉินด้วย?”
โจวจางเหว่ยสาวเท้าเดินลงจากขั้นบันไดมาเบื้องล่าง หยุดยืนอยู่ตรงหน้าอ้ายชิงที่นั่งตัวลีบก้มหน้าอย่างหวาดหวั่น
“เรื่องนี้หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ เพคะ แต่เมื่อคืนจนเช้าวันนี้ท่านอ๋องก็ยังไม่ออกจากตำหนักฮุ่ยหลิงเลย หม่อมฉันไม่กล้าเปิดประตูเข้าไปก็เลยมากราบทูลฝ่าบาท”
“งามหน้านัก! ข้าจะไปตำหนักฮุ่ยหลิง!!”
คำสั่งประกาศิตประกาศดังก้องทั่วท้องพระโรง โจวจางเหว่ยรีบสาวเท้าเดินจ้ำออกไป โดยมีข้าทาสบริพารส่วนพระองค์เดินตามติดๆ ทิ้งให้อ้ายชิงนั่งกังวลถึงผลตอบรับที่โจวซูฮวาคาดหวังไว้อยู่ที่เดิม ดูท่าแล้วเรื่องนี้จะไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิด
สองร่างชายหญิงนอนอิงแอบแนบชิดอยู่บนเตียงกว้าง อาภรณ์ของทั้งคู่กระจัดกระจายอยู่เบื้องล่างคนละทิศละทาง มีเพียงผ้าห่มผืนหนาคลุมกายปกปิดของสงวนเอาไว้
เพราะเมื่อคืนการร่วมรักเสพสุขระหว่างเฉินตงหยางและโจวซูฮวามิได้จบลงเพียงครั้งเดียว ฤทธิ์ยากระตุ้นกำหนัดที่นางใส่ในสุราให้เขาดื่มไม่ใช่ปริมาณที่น้อยๆ มันมากพอจะทำให้บุรุษที่นกเขาไม่ขันกลายร่างเป็นคชสารตกมันได้
แล้วมีหรือคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงกำยำเยี่ยงเฉินตงหยางจะจบเพียงแค่หนึ่งรอบ ทั้งคู่จึงมาจบลงด้วยสภาพหมดสิ้นเรี่ยวแรงและสติสัมปชัญญะในตอนรุ่งสางนี้เอง
ปึง!!
บานประตูไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม ถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรงจนเกิดเสียงกระทบดังกึกก้อง ทว่ายังไม่สามารถปลุกคนซึ่งนอนหลับสนิทให้ตื่นขึ้นได้
โจวจางเหว่ยสืบเท้าเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ภาพแรกที่ได้เห็นคือเสื้อผ้ามากมายถูกทิ้งเกลื่อนกลาดไปทั่วพื้น เมื่อเลื่อนสายตาสูงขึ้นจึงพบผู้เป็นเจ้าของเสื้อผ้าพวกนั้น นอนเปลือยเปล่ากอดกันกลมอยู่บนเตียง
พลันโทสะที่มีอยู่แล้วขณะเดินมาตำหนักฮุ่ยหลิง ลุกโหมขึ้นจนใบหน้าหย่อนคล้อยตามวัยแดงจัดด้วยความโกรธ เขาหันมองรอบกายก่อนสายตาไปสะดุดเข้ากับเหยือกสุรา ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะท่ามกลางจานอาหารหลากหลาย
โจวจางเหว่ยคว้ามันขึ้นมาเดินปรี่เข้าไปใกล้เตียงนอนใหญ่ เปิดฝาเหยือกและสาดใส่คนทั้งคู่จนหมด ก่อนปามันลงพื้นอย่างไม่นึกเสียดาย
หัวหน้าขันทีที่ตามเสด็จมาด้วยประเมินสถานการณ์แล้ว จึงรีบไล่คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากตำหนัก ปิดประตูบดบังสายตาธารกำนัลภายนอก และกลับมายืนประจำที่ตนเองอยู่ข้างหลังเงียบๆ
เป็นเฉินตงหยางที่ได้สติตื่นขึ้นก่อน เขาปรือตามองเหตุการณ์รอบตัวด้วยอาการปวดหัวอย่างหนัก ยกมือบีบคลึงศีรษะไปมาขณะพยายามหยัดกายลุกนั่ง สมองประมวลสิ่งใดไม่ทันเพราะยังเมาฤทธิ์ยา
“อ๋องเฉิน!! ท่านทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ได้เยี่ยงไร นี่ท่านไม่เห็นหัวข้าแล้วรึ?!!”
ถึงจะโมโหจนอยากลงดาบบนลำคอคนตรงหน้ามากแค่ไหน ทว่าโจวจางเหว่ยก็ทำได้แค่คิดและข่มความรู้สึกเอาไว้ เพราะเฉินตงหยางดันเป็นเชื้อสายราชวงศ์เก่าที่ก่อตั้งแคว้นฟู่ขึ้นมา มีกลุ่มคนมากมายสนับสนุนเขาอยู่เบื้องหลัง หากผลีผลามทำอะไรลงไปอาจก่อให้เกิดการก่อกบฏขึ้นได้
เสียงตวาดดังก้องไปทั้งตำหนักทำให้สติของเฉินตงหยางฟื้นคืน อีกทั้งยังปลุกโจวซูฮวาให้ตื่นขึ้นจากนิทราอีกด้วย ดวงตาคมเฉี่ยวดั่งหงส์เปิดกว้าง มือกระชับผ้าห่มไว้แน่นและรีบลุกขึ้นนั่ง ใช้ร่างกำยำของคนข้างๆ บดบังผิวกายขาวเนียน ที่บัดนี้เต็มไปด้วยรอยแดงช้ำเป็นจ้ำเลือด
“ฝ่าบาท!!”
“เสด็จพ่อ…”
สองประโยคเอ่ยเรียกพร้อมกันซึ่งน้ำเสียงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เฉินตงหยางตกใจมากที่ตนเองตื่นขึ้นมาในสภาพนี้ต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นฟู่ เขาจำภาพเรื่องราวเมื่อคืนแทบไม่ได้ ทุกอย่างเลือนรางทว่าในความรู้สึกกลับชัดเจนว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ขณะที่โจวซูฮวามีท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอันใด นางคลี่ยิ้มเล็กๆ อยู่ด้านหลังสวามีทางพฤตินัยโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็นรอยยิ้มนั่น เพราะคนอื่นๆ กำลังเคร่งเครียดกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าพวกเจ้ากำลังเล่นอะไรกันอยู่?!”
มันเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีซึ่งทะเลาะกันทุกครั้งยามเมื่อเจอหน้า จู่ๆ บทสรุปมาลงเอยกันบนเตียงในสภาพเปลือยเปล่าเช่นนี้ โจวจางเหว่ยเดาไม่ถูกจริงๆ ว่าเพราะเหตุใด
“คือ…”
เฉินตงหยางอึกอักไม่กล้าพูด จะให้เขาเอ่ยออกไปได้อย่างไรว่าตนเองถูกโจวซูฮวาวางยาปลุกกำหนัด แล้วเกิดคุมสติไม่อยู่เผลอกระทำเรื่องงามหน้าเช่นนี้ลงไป
ถึงทั้งหมดมันจะเป็นจริงตามนั้นก็เถอะ แต่หากเขาเลือกที่จะอธิบายแบบนั้น นั่นเท่ากับว่าเขาไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษพอ ผลักความผิดให้สตรีรับผิดชอบคนเดียวทั้งหมด อย่างไรเสียเฉินตงหยางก็ผิดที่ไม่สามารถหักห้ามใจตนได้เหมือนกัน
“เสด็จพ่อจะให้พวกหม่อมฉันตอบคำถามพระองค์ ทั้งที่ยังอยู่ในสภาพเปล่าเปลือยเยี่ยงนี้หรือเพคะ ไม่พระทัยดำเกินไปหน่อยหรือไง อย่างน้อยๆ ก็ให้เวลาใส่เสื้อผ้ากันก่อนมิได้หรือ?”
เป็นตัวต้นเรื่องที่ออกหน้าหาเวลาให้ได้หายใจหายคอ โจวซูฮวายื่นหน้าผ่านบ่ากว้างไปเอ่ยปากต่อรองกับพระบิดา ก่อนเหลือบสายตามองหัวหน้าขันทีและองครักษ์คนสนิทของโจวจางเหว่ย ซึ่งยืนก้มหน้าอยู่เงียบๆ ด้านหลัง
เมื่อโจวจางเหว่ยมองตามสายตาของนางจึงนึกขึ้นได้ว่ามีบุคคลอื่นอยู่ด้วย อย่างไรเสียโจวซูฮวาก็ได้ชื่อว่าเป็นพระราชธิดาของเขา จะให้ผู้อื่นมาแอบมองผิวกายใต้ร่มผ้าก็ดูไม่เหมาะไม่ควร
“ใส่เสื้อผ้ากันให้เรียบร้อย แล้วรีบตามข้าไปที่ตำหนักใหญ่!!”
กล่าวจบโจวจางเหว่ยจึงหันหลังเดินออกจากตำหนักไป ด้วยท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านไม่สบอารมณ์
เมื่อในตำหนักหลงเหลือเพียงแค่ผู้เป็นเจ้าของ กับแขกพิเศษคนสำคัญที่พึ่งนอนค้างอ้างแรมไปเมื่อคืน บรรยากาศโดยรอบก็กลับมาเงียบสงัด ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากปากของคนทั้งคู่ ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ จากทั้งสองฝ่าย นอกจากเสียงถอนหายใจหนักๆ ของร่างใหญ่
จนกระทั่งเฉินตงหยางหยัดกายลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบอาภรณ์ของตนขึ้นมาสวมใส่ลวกๆ โดยไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อผ้าสตรีที่หล่นกองไม่ห่าง โยนให้โจวซูฮวาซึ่งยังคงนั่งยกผ้าห่มปิดบังกาย
“รีบใส่ซะ บิดาเจ้ามิใช่คนใจเย็น”
เฉินตงหยางทำท่าจะเดินไปอีกฝั่งห้องเพื่อให้พื้นที่โจวซูฮวาได้แต่งกาย ทว่ายังไม่ทันก้าวขากลับถูกนางเรียกไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว!”
“มีอะไร?”
เขาไม่ได้หันกลับไปเผชิญหน้า เพียงแค่หยุดการเคลื่อนขยับและเอ่ยปากถามเสียงเรียบเท่านั้น
“ท่านจะตอบเสด็จพ่อว่าอย่างไร?”
ถึงเฉินตงหยางจะพูดจาโผงผางตรงไปตรงมาตามใจคิด ทว่ากลับเป็นคนที่มีความรู้สึกละเอียดอ่อนกว่านั้น โจวซูฮวารู้ว่าเขามีความเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่แฉเรื่องราวน่าอายที่นางก่อขึ้นเมื่อคืน
“แล้วข้าควรจะต้องตอบว่าอย่างไรดีล่ะ?”
ใบหน้าหล่อคมคายหันไปใช้ดวงตาชั้นเดียวมองจิกตัวปัญหา ความไม่พอใจระบายชัดบนสีหน้าที่เคยเย็นชาอยู่แทบจะตลอดเวลาอย่างชัดเจน
คนถูกแดกดันด้วยสายตารีบเบนหน้าหนี โจวซูฮวาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสมองไปทั่วห้อง และเมื่อไม่ได้รับคำตอบเฉินตงหยางจึงก้าวเท้าเดินไปอีกฟากของตำหนักอีกครั้ง จบด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างแต่งกายตนเองคนละฝั่งอย่างเงียบๆ