บทที่ 8 ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ
นับตั้งแต่วันนั้นที่อ๋องติ้งส่งขบวปนมาสู่ขอ เยี่ยนอวี่ซินก็ไม่เคยมีวันที่ได้ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบอีกเลย
ของมีค่าถูกส่งมาทุกวันแทบจะถมจวนเยี่ยนจนล้นออกมาหน้าประตู มีตั้งแต่กล่องปิ่นปักผมล้ำค่า ผ้าไหมจากแดนใต้ ยันเครื่องหอมล้ำชนิดที่มารดานางยังไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกสิ่งล้วนมาพร้อมบันทึกสั้น ๆ เขียนด้วยลายเส้นเฉียบขาดว่า
“ของเหล่านี้ยังงดงามไม่สู่เจ้า”
ทว่าอื่นใดนั้นเจ้าของลายมือก็ไม่เคยโผล่มาสักครา...มีเพียงของที่มากขึ้นเรื่อย ๆ กับข่าวลือในเมืองหลวงที่บอกว่า
อ๋องติ้งตกหลุมรักคุณหนูตระกูลเยี่ยน
และไมตรีจิตยินดี...จากแขกขุนนางที่หลั่งไหลมาไม่เว้นแต่ละวันไม่ต่างกัน
เยี่ยนอวี่ซินได้แต่นั่งหน้าบื้อเบื่อ ๆ ฟังเสียงหัวเราะของบิดากับน้ำเสียงหวานราวเชื่อมของมารดาที่ต้องรับแขกเกือบทุกวัน
นางเคยหลุดปากชมผ้าไหมชิ้นหนึ่งว่าสีสวย วันต่อมาทั้งห้องก็มีผ้าสีเดียวกันยี่สิบพับส่งมาที่จวน
เคยเล่าว่าชอบกลิ่นชาอ่อน ๆ ไม่หวานจนเกินไป วันรุ่งขึ้นก็มีชาใหม่จากแดนเหนือส่งมาพร้อมกล่องไม้แกะลายดอกเหมย
บางวัน…นางเพียงนั่งเงียบ ๆ อยู่ริมหน้าต่าง ยังไม่ทันพูดอะไร ข้างล่างก็มีคณะดนตรีมาเป่าเพลงให้ฟังถึงในจวน
นางเพียงแค่อยากกินของอร่อย เที่ยวอย่างสุขสบาย หลีกหนีเส้นเรื่องที่สิ้นสุดที่ความตายนั่น แล้วมองจากไกล ๆ ว่าพระนางในนิยายจะตกหลุมรักกันตอนไหนเท่านั้น
ทว่าแม้จะพยายามบอกตัวเองอยู่เนือง ๆ ว่าสิ่งที่ตัวร้ายผู้นั้นทำดูเหมือนมีจุดประสงค์บางอย่าง อีกทั้งอาจเพราะเขายังไม่ได้เจอตานถิงนางเอกในนิยายที่จะจะตกหลุมรัก แต่ใจเจ้าเอยก็พลันกระตุกวูบเสียทุกที มันอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
“บ้าจริง นี่ข้า...กำลังยิ้มอยู่หรือ?”
นางพึมพำกับตนเอง เสียงแทบไม่หลุดจากริมฝีปากด้วยซ้ำ
“คุณหนูว่าอย่างไรนะเจ้าคะ?” หงเซียงที่กำลังจัดแจกันด้วยดอกไม้ป่าหายากที่ได้รับมาจากอ๋องติ้งหันมาถามด้วยความสงสัย
“เอ หรือคุณหนูของบ่าวกำลังคิดถึงท่านอ๋องอยู่? พูดก็พูดเถอะ หลายเดือนมานี้ของจากจวนอ๋องส่งมาทุกวัน แต่น่าประหลาดที่ยังไม่เห็นหน้าท่านอ๋องเลยนะเจ้าคะ”
คำพูดนั้นเหมือนสายลมเย็น ๆ ที่ตบหน้าจนเยี่ยนอวี่ซินชะงัก มือที่กำลังคีบขนมค้างกลางอากาศ ก่อนจะค่อย ๆ วางมันลงในจานด้วยสีหน้าครุ่นคิดหนัก
ใช่…ของมีทุกวัน แต่เจ้าตัวไม่เคยโผล่มาเลย
เยี่ยนอวี่ซินหน้าชาวาบเมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่มันใกล้ช่วงเวลาสำคัญในต้นฉบับนิยายแล้ว ช่วงที่ตัวร้ายจอมโหดตกหลุมรักนางเอกผู้แสนดีอย่างซุนตานถิง
หากเป็นไปตามเดิม…นั่นแปลว่าตานถิงควรจะได้ใจเขาในอีกไม่นานนี้ หากเป็นเช่นนั้นตำแหน่งว่าที่พระชายาของอ๋องติ๋งก็จะหลุดลอยไปเอง!
ใช่แล้ว! ทางรอดของนางอยู่นี่อย่างไรเล่า เพียงมั่นใจว่าพวกเขาจะพบกันตามฉากในนิยายก็เพียงพอแล้ว
“หงเซียง พรุ่งนี้ข้าอยากไปสักการะล้างบาปที่วัด”
“วัดหรือเจ้าคะ?” หงเซียงเลิกคิ้ว “นายท่านจะอนุญาตหรือ?”
ช่วงนี้แม้อวี่ซินจะมีอิสระไปไหนมาไหนได้บ้างแล้วแต่ก็จำต้องขออนุญาตบิดาทุกครา เพราะเขากลัวนางไปก่อเรื่องใหญ่อะไรอีกนั่นล่ะ แต่เรื่องนี้สำหรับอวี่ซินไม่ใช่เรื่องยาก
“อืม เพียงบอกว่าข้าฝันร้ายจึงอยากไปทำบุญไถ่บาปนั่งภาวนาที่วัดสักหนึ่งคืนก็ได้แล้ว”
บ่าวสาวได้แต่งุนงงกับเหตุผลประหลาดของคุณหนูตนเอง ขณะที่เยี่ยนอวี่ซินกลับลอบยิ้มในใจ…
ใช่ นางจะไปวัดนั่น วัดที่ในนิยายเคยกล่าวถึงว่าเป็นสถานที่ที่อ๋องติ้งได้พบซุนตานถิงและเริ่มหวั่นไหวในคืนวันเดือนมืดที่จะถึงนี้
หากฉากนั้นเกิดขึ้นจริง นางก็อาจจะหลุดจากพันธะนี้เสียที!
วัดจิ่วเหอเงียบสงบในยามค่ำ แต่กลับไม่สามารถกล่อมให้เยี่ยนอวี่ซินหลับได้ง่าย ๆ อย่างคืนอื่น
นางนอนฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของหงเซียงที่หลับอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความรู้สึกว้าวุ่นในอก สุดท้ายก็ลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมมาสวม ก่อนจะย่องออกไปเงียบ ๆ ไม่ให้อีกฝ่ายตื่น
คืนนี้คือคืนที่นางรอคอย… หากมันเป็นไปตามต้นฉบับในนิยายคืออ๋องติ้งจะบาดเจ็บจากการถูกลอบโจมตีและหนีมาหลบในห้องของซุนตานถิงโดยบังเอิญ แล้วจากความห่วงใยและมิตรภาพจะแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกลึกซึ้งในใจเขาที่ได้นางช่วยชีวิตและปกปิดไว้
อวี่ซินเดินย่องไปตามทางกรวดที่ทอดผ่านลานวัดเลี้ยวลึกเข้าสู่เขตเรือนพักรวมสำหรับตระกูลไม่ใหญ่มาก ใต้เงาไม้สูงนั้นนางหลบอยู่ด้านหลังต้นหลิวใหญ่
นางชะโงกหน้าออกเล็กน้อยก็สามารถเห็นเรือนพักที่เปิดหน้าต่างไว้เพื่อให้แสงเทียนส่องสลัวเข้าไปภายในห้อง
ไม่นานนักเสียงดังแปลก ๆ ท่ามกลางความเงียบสงบก็ดังขึ้นจากอีกฝั่งของวัด เสียงฟาดฟันปะทะกันก่อนจะปรากฎเป็นร่างของใครบางคนพุ่งผ่านแนวหลังคามาอย่างรวดเร็ว และร่างดำนั้นก็จะกระโจนข้ามกำแพงสวนเข้ามาในเขตเรือนพักอย่างแม่นยำ
อวี่ซินยืนนิ่งราวกับรูปสลัก หัวใจของนางเต้นกระหน่ำ เส้นเลือดในขมับเต้นตุบ ๆ จนแทบจะกลบเสียงอื่นทั้งหมดในค่ำคืนนี้
…บุรุษผู้นั้นเข้าห้องของซุนตานถิงจริง ๆ
เป็นไปตามที่นางจำได้จากนิยาย ทุกอย่างจะเป็นไปตามเส้นเรื่องเดิมแล้ว และเมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะรักนางเอกของเขาอย่างหมดใจ อวี่ซินจะไม่ต้องอภิเษกกับเขา
นางควรจะยินดี...
ใช่สิ ควรจะดีใจให้สุดใจไปเลยต่างหาก
แต่น้ำหนักที่ถ่วงตรงอกมันคืออะไรกัน?
แค่เห็นแผ่นหลังเปื้อนเลือดของเขาเลือนหายเข้าไปในห้องสตรีอื่น ความรู้สึกวูบไหวในอกราวกับมีเงื้อมมือมาบีบเค้นจนเจ็บจุก ดวงตาร้อนผ่าวโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วสั่นไหวกับลมหายใจที่สะดุดอย่างควบคุมไม่อยู่
“โง่เอ๊ย…นี่เจ้าจะร้องไห้ทำไมกัน…”
นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ด้วยเสียงที่แตกพร่าเกินกว่าจะฟังดูเหมือนคนดีใจ
มือเล็กกำชายเสื้อแน่น ราวกับจะดึงสติกลับมาแต่เท้ายังไม่ยอมขยับสักก้าว สุดท้ายก็ฝืนเบือนหน้าหนี
ทว่าก่อนที่อวี่ซินจะหมุนกายเดินจากไปทันใดนั้นเอง...
มือหยาบกร้านเย็นเฉียบข้างหนึ่งก็คว้าข้อมือนางจากด้านหลัง!
ความตกใจแล่นวาบจากส้นเท้าถึงกลางอก ยังไม่ทันได้เปล่งเสียง ผ้าชื้นกลิ่นยาบางอย่างก็ถูกโปะลงมาปิดจมูกและปาก
แขนขาของนางอ่อนแรงทันที ภาพตรงหน้าพล่าเลือน แม้จะพยายามฝืนลืมตาแต่มันกลับยากเกินควบคุม
...นี่มัน ไม่ใช่…ไม่ใช่แบบที่ควรจะเป็น…
ความคิดสุดท้ายในหัวก่อนที่ร่างบอบบางของอวี่ซินจะล้มลงในอ้อมแขนของบุรุษนิรนาม ท่ามกลางความมืดของป่าข้างวัด...
หญิงสาวผู้หนึ่งที่ตั้งใจจะหลีกหนีโชคชะตา กลับถูกดึงเข้าสู่เส้นเรื่องอีกคราโดยไม่ทันตั้งตัวเสียแล้ว
