บทที่ 2 เขาไม่รักข้า
“คุณหนูเจ้าขา…เราไม่น่าเดินลัดผ่านตรอกนี้เลยเจ้าค่ะ มันวังเวงชอบกล”
หงเซียงกระซิบเสียงสั่น ขณะเดินตามเยี่ยนอวี่ซินที่ก้าวนำเข้าไปในตรอกซอยเงียบที่เจ้าตัวมองแล้วน่าจะใช้ไปยังตลาดอีกแห่งได้
อวี่ซินหยุดมองรอบตัวอย่างไม่ใส่ใจนัก ความวังเวงและสกปรกเช่นนี้นางคุ้นชินดีไม่คิดว่าเป็นปัญหาอะไร
“เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก”
แต่นางลืมไปเสียสนิทว่าโลกใบนี้คือ นิยายไม่ใช่โลกที่นางจากมา
นางไม่ใช่คนธรรมดาเดินดินแล้วแต่เป็นคุณหนูที่แต่งตัวงดงามมาจากตระกูลร่ำรวย
“เฮ้! แม่นางสองคน หลงทางหรือ? ให้พวกข้าช่วยไหม?”
เสียงแหบพร่าดังขึ้นจากเงามืดของซอกกำแพงเก่า พริบตาเดียวก็มีชายร่างยักษ์สามคนโผล่ออกมาขวางหน้าทั้งสองไว้แล้ว
สายตาของหนึ่งในนั้นกวาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของเยี่ยนอวี่ซิน ก่อนจะยิ้มแสยะด้วยฟันเหลืองกร่อนเต็มไปด้วยเจตนาร้ายชัดเจน
“ดูท่าจะมีถุงเงินหนักใช่เล่นด้วยนะ ฮะ ฮ่า”
“พวกแกอยากได้เงินหรอ อย่าทำร้ายพวกข้าก็พอส่วนเงินที่มีข้าให้หมดเลย”
นางเอ่ยเสียงเรียบ สีหน้าไม่แสดงอาการตื่นกลัวอย่างหงเซียง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่กลัวแต่นางเพียงไม่แสดงออกให้พวกนั้นยิ่งก้าวเข้ามาก็เท่านั้น
“โอ้ ดูสิ รู้ใจกันเช่นนี้ข้าอยากได้มากกว่าถุงเงินเสียแล้ว”
พูดจบอีกคนก็เอื้อมมือหมายจะจับต้นแขนนางอย่างปากว่า หงเซียงร้องกรี๊ดเสียงหลงทันที “อย่ามาแตะต้องคุณหนูของข้านะ!”
อวี่ซินถอยหลังพร้อมดันให้หงเซียงถอยออกมาด้วย นางถอนหายใจอย่างเอือมระอาที่ตนเองมัวแต่เล่นสนุกจนลืมระวังตัวเช่นนี้จนได้ แต่ก็อาจเป็นลู่ทางที่จะได้ใช้วิชาเทควันโดที่ได้มาจากการเข้าร่วมชมรมสมัยเรียนมหาลัยเสียแล้ว
หวงจื่อหานและเวินอวี้เดินตามมาเห็นว่าสองสตรีกำลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ล้อมไว้พอดี
“คุณชาย พวกเราต้องรีบเข้าไปช่วยแล้วขอรับ!”
เวินอวี้ที่ตามมากระซิบเสียงตื่น ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะเคลื่อนไหว...สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเสียแล้ว
“ปั้ก!”
เสียงดังตามด้วยร่างชายคนหนึ่งถูกเดะอัดท้องลอยไปกระแทกกำแพงอย่างแรง และตามมาด้วยชายอีกคนถูกสตรีร่างบอบบางจับแขนและดึงเข้าหาตัวอย่างไม่ทันตั้งตัวก่อนจะโดนเข่ากระแทกจนฟุบลงไป
เวินอวี้ถึงกับอ้าปากพะงาบ ๆ ตะลึงงันไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้านายอย่างจื่อหานเลย
“คุณชาย...นี่เราฝันไปหรือเปล่าขอรับ?”
นาง…ถีบผู้ชายตัวโตขนาดนั้น...กระทกลงพื้นได้?
มือที่กะจะชักกระบี่ออกมาช่วยชะงักค้างกลางอากาศ
ความเงียบแปลกประหลาดปกคลุมบริเวณนี้จนกระทั่งสตรีสองนางปลอบขวัญกันและตั้งท่าเตรียมเดินจากไปแล้วพวกเขาถึงกลับมาได้สติอีกครั้ง
“ไม่...เจ้าไม่ได้ฝัน”
“พวกเราควรทำอย่างไรต่อดีขอรับ ยังต้องเข้าไปช่วยอีกหรือไม่?”
“เวินอวี้” เสียงของจื่อหานเข้มขึ้นเล็กน้อย
“ขอรับ ไม่น่าจะต้องแล้ว…”
“กลับ!”
ณ จวนตระกูลเยี่ยน
“เวลาป่านนี้ยังกล้ากลับมาอีกหรือ?”
เสียงเข้มเย็นดังขึ้นทันทีที่เยี่ยนอวี่ซินย่างเท้าเข้ามาในบริเวณโถงทางเดินหน้าจวน
ต้นเสียงไม่ใช่ใครอื่น คือ หลัวซื่อเหม่ย มารดาผู้งามสง่าแต่ดุร้ายดุจแม่เสือนั่นเอง
นางอยู่ในชุดผ้าเรียบลื่นสีเข้ม นั่งหลังตรงบนเก้าอี้ไม้แกะสลัก แขนเรียวยกขึ้นกอดอก สายตาก็จ้องอวี่ซินผู้เป็นบุตรสาวอย่างกับมีลำแสงแทงทะลุร่างแน่งน้อยจนพรุน
“ออกไปเที่ยวเล่นทั้งวัน ...ออกไปตอนข้าไม่อยู่คิดว่าข้าไม่รู้หรือ?”
เยี่ยนอวี่ซินหัวเราะแห้งตอบสนอง ในหัวคิดถึงนิสัยของมารดารวมถึงจำจุดอ่อนของมารดาผู้นี้ได้ ก็รีบใช้ให้เกิดประโยชน์ทันที นางฉีกยิ้มออกกว้างพร้อมพุ่งเข้ากอดแขนมารดาอย่างประจบประแจง
“ท่านแม่~ อย่างไรลูกก็กลับมาแล้ว~ อย่าดุเลยน้า…”
นางลากเสียงยาวอย่างคนรู้ไส้รู้พุงอีกฝ่ายดี พร้อมกับซุกหน้าลงที่ไหล่ของมารดาพลางหยิบห่อของฝากออกมาวางตรงหน้า
“วันนี้ลูกไม่ได้เที่ยวเปล่านะเจ้าคะ เห็นอะไรดี ๆ ก็นึกถึงท่านแม่ตลอดเลย ทั้งขนมร้านโปรดของท่าน ...นี่เจ้าค่ะ ลองจับดูสิ เครื่องประดับนี้งดงามที่สุดในร้านเลยนะเจ้าคะ”
หลัวซื่อเหม่ยทำหน้าดุอยู่อีกพักเท่านั้นสุดท้ายก็แพ้ทางบุตรสาวคนเดียวในที่สุด สีหน้าของสตรีผู้มากบารมีก็เริ่มอ่อนลงเรื่อย ๆ
“ปากเจ้านี่มัน...ช่างประจบจริง ๆ”
“ก็ลูกเป็นลูกของท่านแม่นี่เจ้าคะ” อวี่ซินยิ้มระรื่น “ลูกพูดแต่ความจริงเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ฮึ...เจ้านี่มัน...” หลัวซื่อเหม่ยพ่นลมหายใจในลำคอ “ไม่รู้อะไรเข้าสิงเจ้ากันหนา เดี๋ยวนี้เอาใจเก่งเกินหน้าเกินตา”
บรรยากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนเสียงฝีเท้าหนักแน่นจะดังขึ้นจากทางเดินด้านหน้าอีกครา...
“ซินเอ๋อร์ พ่อกลับมาแล้ว”
เสียงเข้มทรงอำนาจของใต้เท้าเยี่ยนดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงสง่าของเขาในชุดขุนนางก้าวเข้ามาในโถงรับแขก ดวงตาเข้มลึกมองบุตรสาวก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่นทันใด
อวี่ซินลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะยื่นถ้วยน้ำชาที่หงเซียเตรียมไว้ให้บิดาดื่มแก้กระหาย
เขารับถ้วยไปแล้วกระดกชาขึ้นจิบหนึ่งอึกก่อนจะวางลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังต่อมา
“ซินเอ๋อร์...เรื่องที่เจ้าขอไว้ก่อนหน้านี้ พ่อจัดการให้แล้วนะ”
นางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “เรื่องใดหรือเจ้าคะ?” นางไปขอเขาตั้งแต่เมื่อใด
“พ่อส่งสารไปสู่ขอคุณชายหวงจื่อหานให้เจ้าแล้ว...”
สิ้นคำก็เหมือนโลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุน!
เยี่ยนอวี่ซินยืนนิ่งไปหลายอึดใจ ก่อนจะพูดพร้อมทำสีหน้าตกใจสุดขีด
“ท่านพ่อ! ลูก...ลูกยังไม่ได้บอกให้ท่านทำเช่นนั้นเสียหน่อย!”
ใต้เท้าเยี่ยนเลิกคิ้วสีหน้าแข็งตึงมากขึ้นแล้ว
“ก็วันก่อนเจ้าร่ำไห้เสียอกเสียใจบอกว่าอยากแต่งกับเขานักมิใช่หรือ? พ่อเห็นว่าไม่ควรปล่อยให้ลูกสาวตัวเองเศร้าใจเลยรีบจัดการให้...”
อวี่ซินนึกถึงเนื้อหาในนิยายที่นางอ่านไปครึ่งเรื่องก่อนจะทะลุเข้ามาสวมบทบาทนางร้ายตัวประกอบ นึกไปนึกมาก็ถึงจำได้ว่าอวี่ซินคนเดิมสั่งให้หงเซียงบ่าวคนสนิทเอาเรื่องที่นางเสียใจไปบอกบิดาเพื่อให้บิดาออกหน้าให้
พอคิดได้ดังนั้นก็หันไปมองบ่าวตัวปัญหาก็ทำให้เข้าใจเรื่องได้ทันที เพราะหงเซียงในตอนนี้นั่งตัวสั่นไม่กล้าสบตาอวี่ซินด้วยซ้ำ
หากนางบอกว่าหงเซียงเข้าใจผิดและทำเกินคำสั่งก็อาจทำให้ถูกลงโทษถึงแก่ชีวิตได้ เช่นนั้นในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วก็ทำได้แต่เลือกอีกทางเลือกหนึ่งที่เกิดผลลัพธ์ร้ายแรงน้อยที่สุดนั่นแหละ
“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกขอโทษที่มาบอกท่านช้าไป แต่ลูกเปลี่ยนใจแล้วเจ้าค่ะ!” อวี่ซินรีบเข้าไปกอดแขนผู้เป็นบิดาอย่างออดอ้อนทันที “เอ่อ จะเป็นไปได้หรือไม่หากลูกอยากให้ท่านไปต้องยกเลิกเสีย!”
“เพ้ย! ไร้สาระสิ้นดี”
ใต้เท้าเยี่ยนหน้าขรึมลงทันใดเขาจับแขนของบุตรสาวตนออกก่อนเดินออกไปเดินวนไปมาอย่างพยายามระงับอารมณ์
“เปลี่ยนใจ? เยี่ยนอวี่ซิน นี่เจ้าเล่นอะไรอยู่? เรื่องแต่งงานมิใช่ของเล่นนะ!”
อวี่ซินก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด นางกัดริมฝีปากแน่น ในใจเต้นโครมครามอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร หากนางไม่เอ่ยปากขอยกเลิกมิใช่ว่าจุดจบของนางก็คือความตายเช่นในนิยายหรือ!?
“ท่านพ่อลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ แต่ลูกนั้นไม่อาจแต่งกับเขาได้จริง ๆ คุณชายหวงกับข้าไม่เหมาะกันเลย เขาไม่ได้ชอบข้า แล้วข้าก็ไม่อยากบีบบังคับเขาเจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อส่งสารขอเจรจาไปแล้วจะเรียกกลับมาได้ง่ายหรือ? ศักดิ์ศรีตระกูลเยี่ยนจะวางไว้ที่ใด?”
เสียงของใต้เท้าเยี่ยนเข้มขึ้น สีหน้าหนักแน่นอย่างผู้ไม่เคยให้ใครค้านได้ง่าย ๆ เยี่ยนอวี่ซินก้มหน้านิ่ง รู้สึกเหมือนถูกตรึงทั้งตัว นางได้แต่เงียบนิ่งอย่างไม่รู้จะเอ่ยเสนอทางไหน
นางไม่ใช่คนฉลาดเท่าใดนัก แต่หากเป็นเรื่องใช้แรงกายและความขยันขันแข็งบอกเลยว่านางไม่เคยแพ้ใคร
ใต้เท้าเยี่ยนปรายตามองบุตรสาวนิ่ง ๆ ดวงตาที่เคยอ่อนโยนตอนพูดถึงการแต่งงานเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นเสียแล้ว
“แต่หากแต่งไปแล้วเขาไม่รักข้า ข้าจะอยู่อย่างไรเจ้าคะ...”
นางกัดริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นเสียงสั่นไว้ หากนางยังยื้อว่าจะแต่งกับหวงจื่อหาน นั่นเท่ากับเดินเข้าเส้นเรื่องเต็ม ๆ อย่างไรบิดาที่รักอวี่ซินมากก็คงไม่คิดอยากให้บุตรสาวมีชีวิตบั้นปลายเช่นนั้นหรอก
“ข้าจะไม่พูดซ้ำอีก เจ้าเป็นบุตรสาวข้า ข้าจะจัดการเรื่องการออกเรือนของเจ้าตามที่สมควร หากเจ้าคิดจะอาละวาดไม่พอใจกับการจัดการของข้า จะลงโทษตามกฎจวนเยี่ยนอย่างไม่มีเงื่อนไข!”
เยี่ยนอวี่ซินชะงักไป ดวงตาสั่นระริกแต่ก็โล่งอกขึ้นมาที่อย่างน้อยบิดาก็คงเข้าใจนางบ้างแล้ว แม้ว่านับจากนั้นอวี่ซินจะถูกสั่งให้อยู่แต่ในเรือนห้ามออกไปไหนโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม...
