ตอนที่4 เข้าใจผิด
“ปิ่นปัก” เสียงราบเรียบของหัวหน้าแผนกที่ดังขึ้นทำให้ปิ่นปักนิ่งงันด้วยหัวใจระรัวในทันที
“คะ” เธอขานรับด้วยหัวใจที่เต้นคร่อมจังหวะอย่างแรงกับสิ่งที่หัวหน้าแผนกจะแจ้งต่อเธออย่างเจาะจง
เธอคิดไม่ออกเลยว่าพนักงานระดับเริ่มต้นอย่างเธอจะต้องเปลี่ยนไปทำงานแผนกอะไรหรือตำแหน่งไหน
“เธอต้องย้ายไปเป็นผู้ช่วยของท่านประธาน” แล้วคำสั่งก็ดังขึ้น
“!...อะไรนะคะ!?” ปิ่นปักได้ยินแบบนั้นก็ชะงักงันไปกว่าเดิมกับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่แบบที่เธอไม่เคยคาดคิดเลยสักนิด หลังจากได้สติก็รีบทวนถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ
“ผู้ช่วยท่านประธานเหรอ ให้พราวเป็นแทนได้ไหมคะ” แล้วเพียงพราวก็พูดขึ้นอย่างอิจฉาเพื่อนไม่น้อย
“นั่นสิๆ พี่นุช ให้ตรีเป็นได้ไหม” ราตรีเอ่ยขึ้นอีกคนอย่างอยากทำหน้าที่นี้ไม่น้อย ต่อให้เงินเดือนลดครึ่งหนึ่งเธอก็อยากทำ
“เลิกพูดเล่นกันได้แล้ว ท่านประธานเป็นคนเลือกเอง” หัวหน้าแผนกอย่างปิยะนุชปรามพนักงานที่โอดครวญขึ้นอย่างไม่จริงจัง
“หน้าแปลกจังเลยนะ พนักงานระดับล่างที่ทำงานได้แค่สองปีแต่กลับได้กระโดดไปเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของประธาน...”
“เธอทำอีท่าไหนมาล่ะปิ่นปัก” ฟ้าใสอดกระแนะกระแหนปิ่นปักด้วยความริษยาไม่ได้
แต่หากได้ทำงานใกล้ชิดท่านประธานอย่างนำทัพมีใครบ้างไม่ต้องการและไม่อิจฉาคนถูกเลือก
“นั่นสิปิ่น เธอทำบุญด้วยอะไรมา” แม้จะรู้ว่าฟ้าใสกระแนะกระแหนปิ่นปักแต่เพียงพราวก็อดถามเพื่อนด้วยความอยากรู้ไม่ได้ว่าทำบุญด้วยอะไรถึงได้โชคดีขนาดนี้ เธอไปทำบุญตอนนี้ทันหรือเปล่า
“มีอะไรเข้าใจผิดหรือเปล่าคะพี่นุช” แต่ปิ่นปักกลับรู้สึกงงงวยไม่น้อยกับการถูกเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองจนอดถามหัวหน้าแผนกไม่ได้
เธอนี่เหรอที่ถูกเลือกให้เป็นผู้ช่วยประธานบริษัท
“ไม่มี เตรียมตัวให้พร้อมพรุ่งนี้เธอต้องไปเริ่มงานที่หน้าห้องท่านประธาน” ปิยะนุชตอบกลับอย่างไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นปิ่นปัก แต่คำสั่งของประธานคือที่สุดจึงทำได้เพียงน้อมรับ
“ค่ะ” ปิ่นปักได้ยินแบบนั้นก็ตอบรับอย่างไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่ตำแหน่งที่สูงขึ้นก็ทำให้เงินเดือนเธอสูงขึ้นตามมาด้วย
มันเป็นเรื่องที่ดีใช่ไหม(?)
วันใหม่ได้เดินทางมาถึงอย่างปกติไม่ต่างกับทุกวัน แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต่างออกไปคือตำแหน่งการทำงานของปิ่นปักที่เธอต้องเดินเลยส่วนออฟฟิศลึกเข้าไปยังห้องทำงานของประธานหนุ่มที่เลือกเธออย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
เธอนั่งรอหน้าห้องทำงานอย่างไม่รู้ว่าต้องเริ่มทำอะไรระหว่างที่ประธานยังไม่มา นั่งอยู่แบบนั้นด้วยคำถามมากมายกับตัวเองกระทั่งเสียงหนึ่งปลุกเธอออกจากภวังค์
“สวัสดีครับคุณผู้ช่วย” นำทัพทักทายผู้ช่วยคนใหม่ที่เขาเลือกมาเองกับตัวขึ้นหลังจากเห็นเธอนั่งเหม่อลอยจนไม่รับรู้การมาของเขา
“สวัสดีค่ะ” ปิ่นปักได้สติกลับมาลุกขึ้นยืนก่อนจะยกมือไหว้เจ้านายของตัวเอง
“ตามผมเข้าไปในห้อง” นำทัพพูดจบก็เดินเข้าห้องทำงานของเขาไป
“.....” ปิ่นปักเดินตามไปก่อนจะยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะทำงานตัวใหญ่เพื่อรอฟังคำสั่งของเขา
“นั่งสิ” นำทัพบอกให้เธอนั่งเพราะเขาคงจะมีเรื่องคุยกับเธอยาว
“ขอบคุณค่ะ” ปิ่นปักตอบรับก่อนจะนั่งตรงข้ามกับเขา
เธอมองเขาตามสัญชาตญาณของผู้ฟัง แต่พอช้อนสายตาขึ้นไปเจอกับสายตาของเขาที่มองเธออยู่มันกลับทำให้เธอต้องหลุบตาลงอีกครั้งอย่างไม่กล้าพอจะมองสบตากับดวงตาล้ำลึกคู่นั้น
“เป็นผู้ช่วยผมไม่มีอะไรมาก คอยประสานงานทุกอย่างของที่นี่ตรงกับผมทั้งตอนที่ผมเข้าหรือไม่เข้าบริษัท...”
“และก็อาจมีบ้างที่ต้องทำงานล่วงเวลา คุณมีปัญหาอะไรไหม” นำทัพเริ่มบอกหน้าที่ของเธอออกไปโดยไม่ลืมถามอย่างใส่ใจ
“ไม่ค่ะ” ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะหน้าที่ที่บ้านของเธอก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากภรรยาในกฎหมายของสามี
“แล้วคนรักของคุณจะไม่มีปัญหาใช่ไหม” แล้วนำทัพก็ถามออกมาพร้อมกับสายตาคมที่หรี่ลงเล็กน้อย
“คะ?” ปิ่นปักได้ยินแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าไปมองสบตากับเขาอีกครั้งกับคำถามที่เหมือนกับว่าเขารู้เรื่องของเธอ
จะบอกว่าจากประวัติการทำงานของเธอก็ไม่น่าใช่เพราะเธอทำงานที่นี่ก่อนจะจดทะเบียนแต่งงานกับคราม ประวัติของเธอในตอนนั้นมันอยู่ในสถานะโสด
“ผมแค่คิดว่าคุณอาจจะมีคนรักแล้ว” เขาบอกเหตุผลออกมาอย่างไม่ค่อยถูกค่อยควรเท่าไหร่
“อ๋อ ค่ะ...”
“ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ” ปิ่นปักเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจเลยตอบรับออกไปเพื่อตัดปัญหา
คนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้จะต้องถามออกไปว่า ‘คุณมีคนรักไหม’ เป็นอับแรก แต่เขากลับใช้คำว่า ‘คนรัก’ ออกมาโต้งๆ เลย
แต่ช่างเถอะ ยังไงคำตอบก็เหมือนกันอยู่ดี
“หมายความว่าคุณมีคนรักแล้วสินะ” เขาพูดขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ได้แปลกใจอะไรเลยสักนิด
“ค่ะ” เธอตอบรับออกไปอย่างไม่ได้บอกถึงสถานะที่แท้จริงว่าไม่ใช่แค่คนรักแต่แต่งงานแล้ว แต่มันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องพูดออกไปนี่
และ...
“มันเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะคุณมีคนรักแล้วผมถึงได้เลือกคุณ”
