บทที่ 5
คืนแรกกับการนอนในห้องที่เคยเป็นของแป้งร่ำ อาจเพราะยังแปลกที่ถึงทำให้ตันหยงนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่พยายามข่มตานอนมาหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม
กระทั่งเกือบตีสาม จังหวะที่ตันหยงกำลังเคลิ้มๆ จะหลับ สายตาก็เหลือบไปเห็นเงาของใครสักคนอยู่ปลายเตียง ตันหยงถึงกับเด้งตัวขึ้นจากเตียงนอนทันที
“ตันหยง” ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยเรียกชื่อของเธอ ตันหยงพยายามเพ่งสายตามองผ่านมุ้งข้างเตียง กระทั่งความเลือนรางนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความชัดเจนที่มากขึ้น
กระทั่งกระแสลมจากหน้าต่างพัดผ่านมาทำให้มุ้งเปิดแยกออกจากกัน ตันหยงจึงมองเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นได้อย่างชัดเจน
“คุณแป้งร่ำ”
“อย่ากลัวฉัน”
“ฉันขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะคะ ฉันเสียใจที่ทำให้คุณต้องเสียชีวิต ฉันเสียใจ” ตันหยงเอ่ยขอโทษออกมา มันเป็นคำขอโทษที่แป้งร่ำสัมผัสถึงความจริงใจได้เป็นอย่างดี
“เธอไม่ได้ทำ”
“ฉันทำค่ะ คืนนั้นฉันเป็นคนขับรถชนรถคุณทิวา” แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคืนนั้นใครเป็นคนขับรถ แต่ตันหยงก็ยังยืนกรานว่าคือเธอ
“แต่ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ทำ”
“คุณแป้งร่ำ” ตันหยงอุทานออกมา ความจริงเรื่องนี้คงปกปิดแป้งร่ำไม่ได้สินะ
“เธอมาที่นี่เพื่อพี่สาวของเธอ”
“ฉัน...”
“ฉันรักทิวา รักเขาเหลือเกิน” แป้งร่ำเอ่ยคำว่ารักที่มีต่อทิวาออกมา สีหน้าของเธอดูเศร้าหมองเพราะไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกับชายคนรักได้อีกต่อไป
“คุณทิวาก็รักคุณค่ะ เขารักคุณมาก”
“ฉันอยากให้เธอเป็นเงาของฉัน เป็นร่างกายให้ฉัน” แป้งร่ำเอ่ยออกมาแต่ทว่าตันหยงกลับได้ยินไม่เต็มประโยค เธอยอมรับว่าอาจเห็นแก่ตัวที่อยากมีความสุขกับทิวาเหมือนตอนที่ยังมีลมหายใจ โดยใช้ร่างกายของตันหยงเป็นสื่อ แต่อีกนัยคือต้องการผูกเกี่ยวตันหยงและทิวาให้ตัดกันไม่ขาด เพราะทิวาต้องมีคนอยู่เคียงข้าง
“คุณแป้งร่ำ คุณพูดว่าอะไรนะคะ ฉันไม่ได้ยิน” ตันหยงพยายามเอ่ยถาม แต่แป้งร่ำกลับทำเพียงส่งยิ้มให้เธอเท่านั้น ก่อนที่วิญญาณของแป้งร่ำจะค่อยๆ หายไปราวกับหมอกควัน
“คุณแป้งร่ำ!” ตันหยงสะดุ้งตื่น ก่อนจะนอนคิดทบทวนว่าเมื่อครู่นี้คือความจริงหรือเป็นเพียงความฝันกันแน่ หากเป็นแค่ความฝันทำไมเธอกลับรู้สึกถึงความมีตัวตนของแป้งร่ำได้มากขนาดนี้
ตันหยงพยายามคิดทบทวนว่าแป้งร่ำมาคุยอะไรกับเธอบ้าง พยายามประติดประต่อเรื่องราวว่าแป้งร่ำต้องการอะไร ทุกอย่างดูเลือนรางโดยเฉพาะประโยคท้ายๆ
“คุณแป้งร่ำอยากให้เราทำอะไร”
“หายไปไหน ป่านนี้ยังไม่มาอีก” ดาหลาเอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิด นั่นเพราะเลยเวลาเครื่องลงนานแล้ว แต่ทว่ากลับยังไม่เห็นน้องสาวเดินออกมาจากภายในตัวสนามบิน
เธอเช็กไพล์ทบินของตันหยงเพราะเครื่องอาจดีเลย์ แต่ทว่าทุกอย่างกลับไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยิ่งรอดาหลาก็ยิ่งหงุดหงิด นั่นเพราะวันนี้เธอต้องตื่นแต่เช้ากว่าที่เคยเพื่อมารับตันหยง แต่ดูสิตอนนี้น้องสาวตัวดีเธอไม่รู้หายหัวไปไหน
ผ่านไปหลายชั่วโมงที่ดาหลายืนรอตันหยงอย่างใจเย็น กระทั่งเธอตัดสินใจโทรศัพท์ทางไกลมาหาผู้เป็นแม่ ที่ตอนนี้กำลังหลับสนิทแต่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์
“คุณแม่คะ ป่านนี้ยายตันหยงยังไม่มาเลยค่ะ”
“ว่าอะไรนะลูก” แก้วตาอุทานออกมาอย่างตกใน นั่นเพราะคิดว่าเวลานี้ตันหยงน่าจะลงเครื่องที่อังกฤษแล้ว
“ดาหลามารอรับที่สนามบินหลายชั่วโมงแล้วนะคะ ไพล์ทบินก็มาถึงตั้งนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่ายายตันหยงหายไปไหน” น้ำเสียงของดาหลาบ่งบอกว่าเธอกำลังอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก
“เครื่องดีเลย์หรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ เพราะดาหลาไปเช็กกับสายการบินมาแล้ว”
“แล้วตันหยงหายไปไหน” แก้วตาเอ่ยออกมาอย่างสงสัย นั่นเพราะเมื่อวานเธอกับสามีไปส่งตันหยงเองที่สนามบิน และเห็นลูกสาวคนเล็กเดินเข้าไปในอาคารผู้โดยสารกับตา หรือว่าตันหยงจะอาศัยจังหวะย้อนออกมา
“นั่นสิค่ะ ยายตันหยงหายไปไหน”
“งั้นแค่นี้ก่อนนะลูก เดี๋ยวคุณแม่ปลุกคุณพ่อก่อน จะได้ตามตันหยงกัน”
“ค่ะ...ได้ข่าวยังไง คุณแม่โทรศัพท์มาบอกลูกด้วยนะคะ”
“ได้จ้ะได้”
“น่าเบื่อที่สุด” สบถผ่านมาตามสายโทรศัพท์ให้ผู้เป็นแม่ได้ยินเสร็จ ดาหลาก็กดวางสายทันที ก่อนจะกลับออกไปจากสนามบิน
ส่วนแก้วตานั้นก็รีบปลุกผู้เป็นสามีก่อนจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ภาสุเป็นห่วงตันหยงเพราะคิดว่าอาจเจอเรื่องร้ายเข้าระหว่างการเดินทาง แต่แก้วตากลับคิดไปอีกอย่าง
“ฉันว่าลูกสาวคนโปรดของคุณหนีตามผู้ชายไปมากกว่า”
“ตันหยงไม่ใช่คนแบบนั้น ลูกเรามีความรับผิดชอบพอที่จะไม่ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ” ภาสุแก้ต่างให้ตันหยงอย่างใจเย็น
“คุณเอาอะไรมามั่นใจ”
“เพราะนั่นคือลูกของเราไงละ” คำพูดของภาสุเสียดแทงความรู้สึกของแก้วตาเข้าอย่างจัง ก่อนที่เธอจะเฉไฉทำเป็นไม่เข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ช่วยตามหาตัวตันหยงหน่อย เพราะฉันไม่อยากอับอายขายขี้หน้าตอนที่ตันหยงกลับมาพร้อมลูกในท้อง” เอ่ยจบแก้วตาก็ลุกขึ้นจากนั้นก็ก้าวออกไปจากห้องนอน แม้จะห่วงตันหยงแต่ระดับความห่วงนั้นช่างห่างไกลกับความห่วงที่เธอมีให้ดาหลาอย่างมาก
ภาสุเข้าแจ้งความเรื่องที่ตันหยงหายตัวไป ตำรวจที่รับแจ้งความส่งเรื่องต่อให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจสอบว่าเธอได้เดินทางออกนอกประเทศหรือไม่ ซึ่งผลที่ได้พบว่าเธอยังไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ ภาพจากกล้องวงจรปิดภายในสนามบินจับภาพได้ตอนที่เธอเดินออกไปกับชายปริศนาคนหนึ่ง
ภาพที่เห็นบ่งบอกว่าตันหยงไม่ได้มีการข่มขู่หรือทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด เธอเต็มใจไปกับผู้ชายคนนั้น และสัญญาณโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายของตันหยงที่ตรวจพบคือที่นครสวรรค์
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าลูกสาวคุณหนีตามผู้ชายไป” แก้วตาเอ่ยเย้ยหยันขึ้นทันที ทั้งๆ ที่ตันหยงก็คือลูกสาวที่เธอคลอดมาเองทั้งคน
“ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าตันหยงจะทำแบบนี้”
“หลักฐานก็เห็นอยู่คาตา คุณจะยังเข้าข้างตันหยงอีกเหรอ”
“ผมจะไปตามหาลูก”
“ตามสบายเลยค่ะ ระหว่างนี้ฉันจะบินไปอยู่กับดาหลาที่อังกฤษ”
“เอาตามที่คุณสะดวกแล้วกัน” เอ่ยจบภาสุก็เดินแยกตัวไป แก้วตาถึงกับตกใจที่ผู้เป็นสามีไม่รั้งให้เธออยู่ที่นี่ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เธอแค่พูดประชดไปเท่านั้นเอง
ในเมื่อภาสุไม่สนใจเธอแล้วแบบนี้ แก้วตาจึงขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า จากนั้นก็บินไปหาลูกสาวคนโปรดที่อังกฤษทันที ในขณะที่ภาสุร่วมมือกับทางตำรวจเพื่อตามหาตัวตันหยง
