บทที่ 1 ตอนที่ 3
“คุณทับทิมลำบากใจหรือเปล่าที่ดาวมาทำงานที่นี่...ดาวขอโทษนะคะ” เธอยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าด้วยความนอบน้อม รู้สึกผิด แต่ก็ถอยไม่ได้... “เรียกพี่เถอะ อย่ามาพิธีรีตองเลย...ที่นี่เราทำงานกันเหมือนครอบครัว เพราะพนักงานส่วนมากก็เป็นคนในเกาะทั้งนั้น คงมีแต่ระดับผู้บริหารที่มาจากสำนักงานใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ถาวร ไปๆ มาๆ แล้วแต่งาน เดี๋ยวน้องดาวก็คงได้เจอ ส่วนเรื่องคุณข่าน ไม่ต้องไปคิดมาก...เดี๋ยวพี่หาวิธีจัดการเอง” ทับทิมยิ้มให้กำลังใจ
“แล้วถ้าครบสามเดือนล่ะคะ หมดหน้าไฮฯ ดาวก็ต้องกลับออกไปจริงๆ เหรอคะ”
“ที่เกาะหมอก พอหมดหน้าไฮฯ ก็จะเข้าหน้ามรสุม ฝนตกหนัก มีพายุ ถ้าน้องดาวมั่นใจว่าอยู่ได้พี่จะหาทางคุณกับคุณข่านเอง จริงๆ แล้วคุณข่านไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับรีสอร์ต แต่เราเป็นเพื่อนกัน และเขาก็เป็นเจ้าของเกาะ เรื่องบางเรื่องพี่ก็ต้องปรึกษาเขาก่อน”
“แต่ดาวกลับไม่ได้นะคะ ดาวอยากทำงานที่นี่” ดาวพรายแสดงความกระตือรือร้น เพราะเงินเดือนที่เธอได้รับ สูงกว่าภายนอกมากถึงสามสี่เท่า แม้การใช้ชีวิตดูจะยุ่งยาก แต่มันก็คุ้ม
“เอาจริงๆ นะดาว พี่เองยังไม่แน่ใจเลยว่าดาวจะไหวไหม เรื่องงานพี่มั่นใจว่าไม่มีปัญหา แต่ดาวต้องปรับตัวหลายอย่าง ที่นี่เหมือนโลกอีกโลก ไม่มีอะไรเหมือนข้างนอกที่ดาวจากมาเลย เอาเป็นว่าอยู่ไปก่อนนะ ถ้ามั่นใจจริงๆ และดาวทำงานดี ถึงตอนนั้นคุณข่านก็คงใจอ่อนลงแล้วล่ะ” “ขอบคุณค่ะคุณ...เอ่อ พี่ทับทิม” เธอยกมือไหว้พลอยทับทิมอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“วันนี้น้องดาวพักผ่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยมาเริ่มเทรนงาน”
“ค่ะพี่ทับทิม”
เมื่อพลอยทับทิมออกไปแล้ว ดาวพรายจึงจัดแจงสำรวจห้องพักของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าจะได้อยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่เธอก็ต้องพยายามยื้อให้มากที่สุด แม้ลึกๆ ในใจ ไม่เคยอยากจากอ้อมอกแม่มาเลยสักนิดก็ตาม แต่เธอมีงานสำคัญต้องทำ กว่าจะดิ้นรนมาถึงเกาะหมอกแห่งนี้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...
ถ้าเธอไม่ตั้งใจเข้าฝึกงานในโรงแรมของครอบครัวทับทิมตั้งแต่แรก ก็คงไม่มีวันนี้ ฉะนั้นเธอจะไม่มีวันยอมกลับไปมือเปล่าเป็นอันขาด
อย่างน้อยๆ เธอจะสอนให้คนที่สร้างตราบาปไว้กับครอบครัวของเธอได้รู้ว่า ต่อให้เวรกรรมไม่มีจริง แต่ใครก็ตามที่ทำเลวจนเกินให้อภัย ก็ควรได้รับการตอบแทนจากผู้ถูกกระทำอย่างสาสม!
ความสูญเสียในอดีต มันวนเวียนหลอกหลอน จนเธอหลับไม่สนิทสักคืนมานับสิบปี แม้ ณ ตอนนั้นเธอยังเป็นเด็ก แต่ก็โตพอจะรับรู้ทุกอย่างได้แล้ว...
“ลูกไปให้ข่าวแบบนั้นได้ยังไง พราว! ชื่อเสียงที่สร้างมาเอามาแลกกับผู้ชายคนเดียวมันคุ้มแล้วเหรอ”
“แล้วพ่อจะให้พราวทำยังไง! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว” เสียงของพ่อและพี่สาวดังลั่นเล็ดลอดเข้ามาถึงในห้องนอนของเธอ ดาวพรายในวัยเด็กสะดุ้งตื่นด้วยความงัวเงีย เธอมองหาแม่ไม่พบ จึงเดินสะเปะสะปะท่ามกลางความมืดสลัวไปเปิดประตู แง้มมองหาที่มาของเสียงสนทนานั้น “พ่อไม่ได้ว่าพราวทำไม่ดีหรอกนะ แต่แน่ใจแล้วเหรอว่าเขาจะรับผิดชอบลูก”
น้ำเสียงของพ่ออ่อนลง จันทร์พราวในชุดรัดรูปสีดำสนิทนั่งอยู่บนโซฟาตัวเล็ก ในขณะที่พ่อนั่งเครียดอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ไฟด้านนอกเปิดสว่างโร่ เด็กหญิงจึงมองเห็นพวกเขาชัดเจน
“โดนสังคมกดดันขนาดนี้ เขาไม่ออกมาทำอะไรบ้างก็ให้รู้ไปสิ พราวมีหลักฐานยืนยัน มีพยาน ยังไงเขาก็ต้องยอมรับพราวค่ะ”
“แต่พ่อไม่เห็นด้วยเลย...ถ้าเขาไม่ยอมรับ พราวจะทำยังไงเรื่องเด็กในท้อง”
“พราวจะทำแท้ง แต่จะสร้างสถานการณ์ว่าเครียดจนแท้งลูกเอง ทีนี้...ต่อให้เขาไม่ยอมรับพราว แต่แรงกดดันก็จะทำให้เขาไม่มีที่ยืนในสังคมเหมือนกัน พราวอยากรู้นักว่า ผู้ชายที่ทำราดาดังอันดับหนึ่งท้องแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ จนลูกต้องตาย จะยังมีใครอยากคบหาร่วมธุรกิจด้วยอีก” น้ำเสียงและสีหน้าของจันทร์พราวแข็งกร้าวจนน่ากลัว
หากไม่ใช่คนในครอบครัว คงไม่มีใครเชื่อว่าดาราผู้โด่งดัง มีภาพลักษณ์อ่อนโยนแสนดีเสมอมา จะเจ้าคิดเจ้าแผนการขนาดนั้น ดาวพรายไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่พ่อกับพี่สาวคุยกันมากนัก แต่ก็รับรู้ถึงความเครียดผ่านการตอบโต้ของทั้งคู่
“แล้วถ้าเขาบอกกับใครๆ ว่าไม่ใช่ลูกเขาล่ะ...”
“พ่อคิดว่าคนทั้งประเทศจะเชื่อข่านมากกว่าพราวเหรอคะ พราวเป็นนักแสดงที่ภาพพจน์ดีมาตลอด มีแฟนคลับเป็นล้านคน แค่พราวบีบน้ำตานิดๆ หน่อยๆ พวกเขาก็เทความเห็นใจให้พราวกันล้นหลามแล้วค่ะ” หญิงสาวกล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจ ทว่ามือของเธอกำแน่นราวใจนั่นร้อนรุ่มไปด้วยความเจ็บแค้น “อย่าลืมว่าพวกดาราที่มันไม่ชอบลูก อิจฉาลูก ก็จ้องจับผิดจะเล่นงานอยู่ไม่น้อย ถ้าพลาด ก็เท่ากับอนาคตลูกที่สร้างสมมาจบเลยนะพราว”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้พราวเหมือนขี่หลังเสือ จะลงก็ไม่ได้ ต้องไปต่อเท่านั้น ทีนี้พ่อเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมพราวถึงดันทุรัง อย่างน้อยๆ พราวก็ยังได้รับคะแนนนิยมเพิ่มด้วย ต่อให้เป็นเรื่องฉาวโฉ่ แต่ยุคสมัยนี้เขาไม่ได้โลกแคบกันแล้ว เมื่อเราเป็นผู้ถูกกระทำ เราต้องได้รับความเห็นใจเสมอนั่นแหละค่ะ”
“ดาว...ทำไมยังไม่นอนลูก...มายืนทำอะไรตรงนี้” มือหนึ่งเอื้อมมาจับไหล่ของเธอแล้วเอ่ยถามอ่อนโยน เมื่อเห็นว่าเป็นแม่ดาวพรายก็อ้าแขนเข้าไปกอด
“พ่อกับพี่พราวคุยกันเสียงดังถึงในห้อง น้องดาวเลยตื่น ไม่เห็นแม่ก็เลยจะออกไปหา แม่จ๋า...ทำไมพี่พราวต้องทำแท้งด้วย ทำแท้งคือการทำให้เด็กตายในท้องใช่ไหม”
“ยัยดาว! เอาอะไรมาพูด” สีหน้าของแม่ตกตะลึงเมื่อเธอเอ่ยถาม มือที่จับตัวเธอยกขึ้นทาบอก แล้วถอนหายใจแรง
“ก็น้องดาวได้ยิน...”
“เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่เกี่ยวกับเด็กอย่างเราเสียหน่อย ไปนอนเถอะ แล้วอย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดให้ใครได้ยินอีก เข้าใจไหมน้องดาว”
“ค่ะแม่...” เธอก้มหน้างุด แม่ของเธอจึงพากลับเข้าไปนอนดังเดิม ครู่ใหญ่...แม่คงคิดว่าเธอหลับแล้วจึงออกไปด้านนอก ซึ่งพ่อกับจันทร์พราวยังคงปรึกษาหารือกันอยู่
“มายุ่งอะไรด้วยแม่เอื้อง ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ” เสียงพ่อต่อว่าแม่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว มักเป็นเช่นนี้เสมอเมื่อแม่ออกความเห็น เธอกับแม่ไม่ได้มีความสำคัญในบ้านหลังนี้เลย เป็นเพียงธาตุอากาศ เป็นส่วนเกินที่พ่อกับพี่สาวคิดพูดเสมอว่าคือภาระ
“ใครจะทำอะไรฉันไม่มีสิทธิ์มีเสียงอยู่แล้ว ขออย่างเดียว อย่าให้ดาวมันมารับรู้เรื่องไม่เหมาะไม่ควรเลย จะพูดจะจาอะไรก็ขอให้ระวังกันบ้าง”
“พราวคุยอยู่กับพ่อข้างนอก ใครจะไปรู้ว่านังเด็กนั่นมันจะแหกตาตื่นขึ้นมาฟังล่ะแม่ แล้วนี่ก็บ้านที่พราวซื้อนะ ให้มันอยู่ด้วยก็บุญเท่าไหร่แล้ว ต้องให้เจ้าของบ้านอย่างพราวระวังตัวเพื่อมันอีกเหรอ”
“ไม่อยากให้มันได้ยินได้ฟังเรื่องที่เราพูด ก็พามันไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสิแม่เอื้อง เลี้ยงให้เปลืองข้าวสุกทำไม” พ่อสมทบเมื่อจันทร์พราวพูดจบ
พวกเขาหันเหความสนใจจากเรื่องแผนการเมื่อครู่มาเล่นงานแม่ของเธอ ดาวพรายน้ำตาไหลสะอื้น มือน้อยๆ กำจิกผ้าปูอย่างไม่รู้จะระบายความในใจอย่างไร
ทั้งพ่อและจันทร์พราวยังคงต่อว่าต่อขานเมื่อแม่พยายามจะปกป้องเธอ ดาวพรายอยากออกไปช่วยแม่ใจจะขาด แต่ถ้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับยิ่งหาเรื่องใส่ตัว ให้ทั้งแม่และเธอต้องมีปัญหาเพิ่ม
ใครจะไปรู้ล่ะว่า...วันนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้ยินน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด ของพี่สาวเพียงคนเดียว
