เก็บให้เป็นความลับ
ก๊อก! ก๊อก! ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจพลางรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแบบลวกๆ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้งในขณะที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงนอน
“คะ…ใครคะ?”
“ป้าเองหนูนับ”
พอได้ยินว่าเป็นป้าลี ฉันจึงค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องด้วยความทุลักทุเล บาดแผลและร่องรอยจากฝีมือของพี่คินน์ยังปรากฏอยู่บนร่างกายของฉันชัดเจน มันสร้างความเจ็บปวดให้ฉันไม่น้อย มันคือฝันร้ายที่ฉันไม่มีวันลืม…
แกร้ก~ ทันทีที่เปิดประตูห้องออกไป สิ่งที่ฉันทำเป็นอย่างแรกคือสอดส่องสายตามองไปบริเวณโดยรอบด้วยความหวาดระแวง เพราะเหตุการณ์เลวร้ายที่เพิ่งผ่านไปมันทำให้ฉันไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับพี่คินน์อีก
“เห็นป้านอมบอกว่าหนูไม่สบาย เป็นยังไงบ้าง?” ป้าลียื่นมือมาแตะที่หน้าผากของฉันเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง
“ยังปวดหัวอยู่นิดหน่อยค่ะ”
“ไปหาหมอไหม เดี๋ยวป้าให้พี่ครามพาไป”
“ไม่เป็นไรค่ะป้า นับเพิ่งกินยาไป ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว”
“ป้าเป็นห่วงหนูนะ ถ้าไม่ไหวรีบบอกนะ ป้าจะได้ให้คนพาไปหาหมอ”
“ค่ะป้า”
“ถ้างั้นหนูพักผ่อนเถอะ ป้าสั่งให้คนทำข้าวต้มไว้ให้แล้ว ถ้าหนูหิวก็ไปกินในครัว หรือถ้าไปไม่ไหวก็เรียกป้านอมได้ตลอดเวลา”
“ขอบคุณมากค่ะป้าลี” ฉันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาต่อหน้าป้าลี ถึงแม้ในใจอยากจะพูดหรือระบายออกมาแค่ไหน แต่พอได้เห็นหน้าป้าและบุญคุณที่ท่านมีต่อฉันอย่างท่วมหัว มันกลับไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยออกไป
หลายวันต่อมา
“เป็นยังไงบ้างหนูนับ หายดีหรือยัง?” ป้าลีเอ่ยถามหลังจากที่เห็นฉันปรากฏตัวออกจากห้องในรอบหลายวัน
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
ตั้งแต่วันนั้น ฉันพยายามหลีกเลี่ยงและหลบหน้าพี่คินน์มาโดยตลอด ซึ่งเขาก็ไม่ได้มาวุ่นวายหรือรังแกฉันอีก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีถึงแม้จะไม่อยากเจอพี่คินน์แค่ไหน แต่ด้วยความเกรงใจป้าลีและสถานการณ์ที่อาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันต่อให้ไม่เจอวันนี้ ยังไงวันหน้าก็ต้องเจอเขาอยู่ดี
“งั้นไปทานข้าวกัน พี่ครามกับพี่คินน์กำลังทานข้าวเช้าอยู่พอดี”
“มะ…ไม่เป็นไรค่ะ นับยังไม่หิว ขอตัวไปดูงานในครัวก่อนนะคะ” สิ้นประโยคนั้น ฉันจึงรีบเลี่ยงตัวเดินออกมา โดยที่ป้าลียังไม่ทันได้พูดหรือถามอะไรต่อ
ฉันยืนล้างจานอยู่ในครัวอย่างขมักเขม้น พยายามทำตัวเองให้ยุ่งยากตลอดเวลาจะได้ไม่ต้องมีสมองไปคิดเรื่องอื่น
“อ๊ะ!” ฉันเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อถูกสวมกอดจากทางด้านหลังในขณะที่กำลังยืนล้างจานอยู่ แล้วคนที่ทำแบบนี้กับฉันได้ก็ไม่ใช่ใคร เขาคือบุคคลที่ฉันพยายามจะหนีห่างมากที่สุด
“ปล่อยนะพี่คินน์ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” ดวงตากลมโตสอดส่องมองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง
“ทำไมถึงต้องตกใจขนาดนั้น”
“เอาจานวางไว้เลยค่ะ เดี๋ยวนับล้างให้เอง” ฉันเปลี่ยนเรื่องคุยทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ บางทีเหตุการณ์ในคืนนั้นเขาอาจจะเมามากจนจำอะไรไม่ได้
“กินยาคุมหรือยัง?” ริมฝีปากหนาโน้มลงมากระซิบถามข้างใบหู มันยิ่งตอกย้ำว่าเขายังไม่ลืม
“…..”
“ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง?”
“กะ…กินแล้วค่ะ”
“แล้วแผลตรงนี้หายดีแล้วใช่ไหม?” ไม่พูดเปล่าแต่เขายังใช้มือหนาสอดล้วงเข้ามาภายใต้กระโปรงของฉันแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
“อย่านะ!”
“อยู่นิ่งๆ ก็แค่อยากเช็คดูว่าตรงนั้นของเธอที่โดนฉันเอายังบวมอยู่ไหม”
“ฮึก! พี่คินน์ หยุดได้แล้ว”
“อยากให้หยุดเหรอ?”
ร่างกายของฉันสั่นเทาอย่างหนักเมื่อเขาลูบไล้บดคลึงพร้อมสอดนิ้วเรียวเข้าออกในร่องคับแคบอย่างช้าๆ จากทางด้านหลัง โดยที่ไม่ได้กลัวว่าจะมีใครผ่านมาเห็นเลยสักนิด ต่างจากฉันที่กลัวจนสติแตก
“จูบฉันสิแล้วจะหยุด”
“…..” ฉันหยุดชะงักไปเมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาบอก
“หรืออยากให้คนมาเห็น?”
“ถ้านับจูบ อึก! พี่จะยอมหยุดชะ…ใช่ไหม” ฉันถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเมื่อคนตัวโตยังสอดนิ้วเข้าออกในร่องของฉันไม่หยุด
“จูบสิ”
ฉันหลับตาเลื่อนใบหน้าเข้าหาคนตัวโตด้วยเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ก่อนจะเขย่งปลายเท้าทาบทับริมฝีปากจูบกับเขาแล้วรีบผละออก เพราะกลัวจะมีคนผ่านมาเห็น
“เม้มปากไว้แน่นขนาดนั้น ฉันจะสอดลิ้นเข้าไปได้ยังไง จูบใหม่!”
ฉันทำตามคำสั่งคือยื่นริมฝีปากไปจูบกับเขาอีกครั้งพร้อมเปิดปากขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เขาได้สอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากอย่างเอาแต่ใจ
“อืม ดูเหมือนว่าตรงนั้นของเธอจะหายดีแล้ว งั้นคืนนี้สี่ทุ่มไปหาฉันที่ห้อง อย่าช้านักล่ะ”
“พอเถอะพี่คินน์ อย่าทำแบบนั้นอีกเลย”
“ฉันพอแน่แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“แล้วเมื่อไหร่พี่จะหยุด นับไม่อยากทำแบบนี้ นับกลัวป้าลีจะรู้” ฉันส่งสายตาอ้อนวอนถามคนตัวโตที่ดูเหมือนจะสนุกกับการได้รังแกคนที่อ่อนแอกว่า
“ก็เอาจนกว่าจะเบื่อ อาจจะอีกสักเดือนหรือเร็วกว่านั้น”
“…..”
“ถ้าอยากให้เรื่องของเราสองคนเป็นความลับก็ทำตามในสิ่งที่ฉันบอก เข้าใจหรือเปล่าเด็กดี?” เขาแสยะยิ้มมุมปาก ก่อนจะตบหน้าฉันเบาๆ หลายครั้ง
“…..”
“ทำอะไรกันอยู่?” เสียงพี่ครามดังขึ้นจากทางด้านหลัง จนทำให้เราทั้งสองรีบผละออกจากกันในทันที
“พี่คินน์แค่เอาจานมาเก็บน่ะค่ะ”
“นับเพิ่งหายป่วยไม่ใช่เหรอ ไปนั่งพักเถอะ เดี๋ยวให้แม่บ้านเป็นคนทำเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ครามอีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”
“ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ช่วย เสร็จแล้วนับจะได้รีบไปพัก”
“ก็แค่ล้างจานจะอะไรกันนักหนา ขืนให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวก็ได้เป็นง่อยกันพอดี” พี่คินน์พูดแทรกขึ้น น้ำเสียงของเขาบ่งบอกว่ากำลังหงุดหงิด
ฉันยืนนิ่งมองหน้าคนทั้งสองสลับกันอย่างกังวลเพราะกลัวว่าพี่คินน์จะแกล้งอะไรฉันอีกหรือเปล่า
“ถ้าปากมึงว่างมากนักก็ไปหาอะไรมาคาบ ไม่ใช่มาคอยจิกกัดหาเรื่องคนอื่นอยู่แบบนี้”
“คนอื่นที่ไหน คนกันเองทั้งนั้น” เขาแสยะยิ้มมุมปากมองมาทางฉันอย่างมีเลศนัย ซึ่งฉันก็พอเข้าใจว่าเขาต้องการที่จะสื่อถึงอะไร
“จริงไหมนับดาว”
“…..”
“หวังว่าเธอคงไม่ลืมเรื่องที่เราตกลงกันไว้นะ” เมื่อเห็นว่าฉันเอาแต่ยืนเงียบ พี่คินน์จึงเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะกระซิบบอกเบาๆ ที่ข้างหู แน่นอนว่าการกระทำของเขา ทำเอาพี่ครามสงสัยอยู่ไม่น้อย
“นับไปตกลงอะไรกับมันไว้” พี่ครามถามหลังจากที่พี่คินน์เดินออกไปแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”
“พี่เป็นห่วง กลัวว่ามันจะมาแกล้งอะไรนับอีก นับโอเคใช่ไหม?”
“นับโอเคค่ะ ไม่เป็นไร”
“…..”
“ขอตัวไปพักก่อนนะคะ พอดีรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย” ฉันเบี่ยงประเด็นก่อนจะรีบเดินออกมาเมื่อเห็นสายตาจับผิดของพี่คราม
