ขัดจังหวะ
“หายไปไหนกันมา แม่โทรหาก็ไม่ยอมรับสาย” ป้าลีรีบเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นว่าฉันกับพี่คินน์เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกัน
“ไปทำธุระมานิดหน่อย”
“เป็นยังไงบ้างหนูนับ ตาคินน์ได้แกล้งอะไรหนูอีกหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะป้าลี พี่คินน์ไม่ได้ทำอะไรนับ” ฉันตอบไปตามความจริง ท่าทางของป้าลีดูเป็นห่วงฉันมาก
“ไม่ได้ทำอะไรก็ดีแล้ว ถ้าพี่คินน์แกล้งหนู หนูต้องรีบมาบอกป้าเลยนะ”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย มองผมในแง่ดีบ้างก็ได้ ผมไม่ทำอะไรลูกสาวแม่หรอก” พี่คินน์พูดแทรกขึ้น ก่อนจะตวัดหางตามามองฉันที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความไม่พอใจ
“ไม่ทำน้องก็ดีแล้ว คนอย่างคินน์ไว้ใจได้ที่ไหนกัน”
“…..” ฉันเบือนหน้าหันหนีไปอีกทางเมื่อคนตัวโตเอาแต่จ้องฉันไม่หยุด
“แล้วได้อะไรมาเยอะแยะเชียว”
“ของใช้ส่วนตัว ถ้าแม่ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวเอาของไปเก็บก่อนแล้วกัน” สิ้นประโยคนั้นพี่คินน์จึงรีบเดินออกไป จะมีก็แค่ฉันที่ยังถือข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ
“จะยืนโง่อยู่ตรงนั้นอีกนานไหม รีบเอาของมาเก็บสิ”
ฉันสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของพี่คินน์ที่ตะโกนเรียก ทำให้ต้องรีบวิ่งตามเขาออกมาในทันที
“หนูขอตัวเอาของไปเก็บก่อนนะคะป้าลี”
สองเท้าหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องของพี่คินน์ ครั้งที่แล้วโดนไล่ตะเพิดออกมาฉันยังจำได้ดี มันเลยทำให้ฉันกลัวและไม่กล้าจะเข้าไปเหยียบในห้องเขาอีก
“เอาไปเก็บข้างใน” เสียงพี่คินน์ปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ในขณะที่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ให้นับเข้าไปได้แล้วใช่ไหม” ฉันทวนถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริงไม่ได้หูฝาด
“ฉันอนุญาตแล้ว เข้ามาสิ”
“…..” ฉันรีบทำตามในสิ่งที่เขาบอก คือเดินเข้ามาข้างในห้องแล้ววางสิ่งของนับสิบถุงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยมีพี่คินน์นั่งรออยู่บนเตียง
“อันนี้ของเธอ ฉันให้” ไม่พูดเปล่าแต่พี่คินน์ยังยื่นถุงกระดาษแบรนด์เนมให้ฉัน ถ้าจำไม่ผิดมันคือเสื้อผ้าราคาแพงตัวละหลายพันเชียวนะ
“ขอบคุณค่ะ” ฉันมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา นับว่าเป็นเรื่องแปลกที่จู่ๆ เขาก็มาทำดี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเขาแสดงออกมาชัดเจนว่าไม่ชอบฉัน แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีถ้าเกิดว่าเขาเลิกจงเกลียดจงชังฉันแล้วจริงๆ
“ไม่ดีใจหรือไง”
“ดีใจค่ะ ว่าแต่ทำไมถึงซื้อของราคาแพงให้นับ”
“มันอาจจะแพงสำหรับเธอ แต่มันไม่ได้แพงสำหรับฉัน”
“…..” ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ โดยที่ลืมนึกไปว่าราคาแค่ไม่กี่พันคงไม่ได้มากมายสำหรับเขา
“ฉันให้เพื่อเป็นการตอบแทนที่เธอไปช่วยฉันถือของไง”
“…..”
“จะว่าไปเธออายุยี่สิบแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ”
“หน้าตาเธอก็ไม่เลว ทำไมไม่ลองหาผัวแก่ๆ เอาไว้เลี้ยงดูล่ะ จะได้ไม่ต้องลำบาก”
ฉันสะอึกมันรู้สึกจุกในลำคอเมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาพูด ถึงฉันจะกำพร้าบ้านจน แต่ก็ไม่เคยคิดสบายโดยการใช้วิธีนั้น
“นับไม่เคยมีความคิดแบบนั้นค่ะ”
“แล้วเคยมีแฟนมาบ้างหรือยัง?”
“ยังไม่เคยมีค่ะ”
“ฉันควรเชื่อดีไหมว่าคนอย่างเธอไม่เคยมีแฟน” ดวงตาคู่คมมองจ้องฉันอย่างพิจารณา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากคล้ายกับคิดอะไรบางอย่าง
“นับยังไม่เคยมีแฟนจริงๆ ค่ะ ว่าแต่พี่คินน์ถามทำไมเหรอคะ?”
“ก็แค่อยากรู้ แล้วเคยจูบกับใครบ้างหรือเปล่า?”
“ยังมะ…ไม่เคยค่ะ”
“หมายความว่าแบบนี้ก็ยังซิงอยู่น่ะสิ”
“เอ่อ…” ฉันถึงกลับเลิ่กลั่กไปต่อไม่เป็นเมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาพูดออกมา
“อยากลองดูไหม?”
“ลอง?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยเพราะไม่เข้าใจว่าพี่คินน์หมายถึงอะไร
“ก็ลอง…”
แกร้ก~ พี่คินน์พูดไม่ทันจบ ก็มีคนเปิดประตูห้องพรวดพราดเข้ามาเสียก่อนแล้วคนที่มาใหม่ก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นพี่ครามนั่นเอง
“กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าจะเข้ามาให้เคาะประตูก่อน” พี่คินน์พูดอย่างหัวเสียพลางถอนหายใจออกมายกใหญ่
“ลืม” พี่ครามตอบสั้นๆ พลางปรายสายตามามองฉันที่อยู่ข้างๆ พี่คินน์ด้วยความสงสัย
“แล้วมึงมีอะไร?”
“กูแค่เอาของมาคืน แล้วทำไมนับถึงมาอยู่ในห้องกับมึงได้?”
“นับเเค่เอาของมาเก็บให้พี่คินน์น่ะค่ะ กำลังจะออกไปพอดี” ฉันพูดแทรกขึ้นเพราะกลัวว่าพี่ครามจะเข้าใจผิด
“นับรีบไปอาบน้ำแต่งตัวสวยๆ นะ วันนี้พี่จะพาไปกินข้าวเย็นนอกบ้าน”
“เดี๋ยวนับไปขออนุญาตป้าลีก่อนนะคะ”
“พี่บอกแม่ให้แล้ว แม่อนุญาตและไม่มีปัญหาอะไร นับรีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ”
“งั้นถ้าพี่คินน์ไม่มีอะไรแล้ว งั้นนับขอตัวก่อนนะ” สิ้นประโยคนั้น ฉันจึงรีบเดินออกจากห้องของพี่คินน์ ท่ามกลางสายตาของเขาที่มองตามออกมา
