เด็กในบ้าน
“ทำเป็นหน้าซื่อตาใส เมื่อไหร่จะเลิกแอ๊บทำตัวไร้เดียงสาสักที ฉันเห็นแล้วรำคาญลูกตา!”
พูดจบแค่นั้นเขาก็เดินออกไป จะเหลือก็แค่ฉันที่ยังงงและสับสนว่าไปทำอะไรผิดนักหนาเขาถึงได้พูดแบบนี้
“ดูเหมือนว่าพี่คินน์เขาไม่ชอบหนูเลยนะคะ เขาคงไม่อยากให้หนูอยู่ที่นี่” ฉันพูดไปตามความรู้สึก ฉันไม่ได้อยากจะเรียกร้องความสนใจหรือทำตัวน่าสงสารแต่อย่างใด เเต่เพราะพี่คินน์เขาแสดงออกมาชัดเจนทุกอย่างว่าไม่ต้องการให้ฉันอยู่ที่นี่
“แต่ป้าอยากให้หนูอยู่ ป้าสัญญากับแม่หนูไว้แล้ว ยังไงป้าก็จะดูแลหนูให้ดีที่สุด”
“…..”
“ไม่ต้องไปสนใจนะหนูนับ ตาคินน์มันก็นิสัยเสียแบบนี้แหละ เดี๋ยวป้าจะสั่งสอนมันเอง”
“…..” ฉันได้แต่ยืนเงียบฟังในสิ่งที่ป้าลีกำลังพูด ด้วยความที่เกรงใจป้า ฉันเลยไม่กล้าจะขัดใจหรือปฏิเสธ
“หนูอยู่กับป้านะ ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ถ้าเป็นไปได้ก็อยู่ห่างตาคินน์ไว้ จะได้ไม่ต้องถูกแกล้ง”
“ค่ะป้าลี”
เวลาต่อมา
“ทำอะไรอยู่คะคุณนับ กลิ่นหอมไปยันหน้าบ้านเชียว” ป้านอมเดินเข้ามาถามในขณะที่ฉันกำลังเคี่ยวน้ำกะทิอยู่ในครัวเพื่อทำขนม ฉันตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำขนมให้คนในบ้านได้ลองชิมดู
“นับกำลังทำบัวลอยค่ะ ป้านอมอยากลองชิมดูไหมคะ”
“เก่งจังเลยนะคะ หน้าตาก็สวย ทำอาหารก็เก่งอีกต่างหาก”
“แม่เคยสอนไว้น่ะค่ะ นับทำเป็นหลายอย่างเลยนะ เอาไว้วันหลังจะทำให้ป้านอมชิมบ่อยๆ”
“แล้วป้าจะรอชิมนะคะ”
ฉันก้มหน้าก้มตาทำขนมต่อด้วยความตั้งใจ ในเมื่อมาอาศัยอยู่ในบ้านเขาแล้วก็อยากทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง
“มาอยู่ตรงนี้นี่เอง พี่กำลังตามหาอยู่พอดี”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” ฉันหันไปถามพี่ครามที่เดินเข้ามาใหม่
“พี่ซื้อไก่ทอดมาฝาก” พูดจบเขาก็ยื่นถุงไก่ทอดให้ฉัน
“พี่ครามใจดีจังเลยนะคะ มีของมาฝากให้นับทุกวันเลย”
“พี่เอ็นดูเรานะ เห็นเราเป็นเหมือนน้องสาวคนนึง” มือหนาเลื่อนมาลูบหัวฉันเบาๆ เขายังคงใจดีกับฉันเสมอ
“ขอบคุณมากนะคะ”
“กินให้อร่อยนะ พี่ขอตัวก่อน พอดีต้องออกไปทำธุระ”
“ขับรถดีๆ นะคะ” ริมฝีปากบางยิ้มกว้างให้อย่างจริงใจ แต่กลับต้องรีบหุบยิ้มลงเมื่อเห็นพี่คินน์เดินตรงเข้ามาหา
“อ่อยฉันไม่สำเร็จเลยต้องไปอ่อยไอ้ครามแทนว่างั้น”
“…..” ฉันเลือกที่จะไม่สนใจแล้วหันมาล้างจานเพื่อฆ่าเวลา
“หูตึงหรือไง ฉันพูดกับเธออยู่นะ”
“ได้ยินค่ะ แต่นับไม่ได้ทำเหมือนที่พี่คินน์พูดเลยไม่รู้ว่าจะตอบอะไร”
“มาอาศัยอยู่บ้านฉันได้ไม่เท่าไหร่ รู้สึกว่าจะปากเก่งขึ้นเยอะเลยนะ”
“นับขอนะพี่คินน์ อย่าหาเรื่องนับเลย” ฉันบอกคนตัวโตด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อเห็นว่าเขาตั้งท่าจะเดินเข้ามาหาเรื่อง
“อย่ามาทำตัวน่าสงสาร ยังไงฉันก็ไม่มีวันสงสารเธอหรอก”
“…..” ฉันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความอยากลำบากและกังวล สำหรับพี่คินน์แล้ว ไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ดูผิดไปหมดทุกอย่าง
“ล้างจานเสร็จรีบไปหาฉันที่ห้องรับแขกด้วย”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“อย่าถามมาก ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง”
หลังจากที่ล้างจานเก็บกวาดข้าวของในครัวเสร็จ ฉันตัดสินใจไปหาพี่คินน์โดยที่ไม่รู้ชะตากรรมตัวเองเหมือนกันว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่ด้วยความจำเป็นและไม่มีทางเลือก ฉันเลยต้องยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี
“พี่คินน์มีอะไรจะใช้นับหรือเปล่าคะ?” ฉันรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปถามในขณะที่เขากำลังนั่งดูทีวีอยู่
“ฉันจะออกไปทำธุระ เลยจะพาเธอไปด้วย”
“อ่อ…ค่ะ ถ้างั้นนับขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ”
“ไม่ต้อง ฉันขี้เกียจรอ ไปชุดนี่แหละ”
“ค่ะ” เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉันจึงเดินตามเขามาขึ้นรถที่จอดอยู่ ถึงแม้จะงงและสงสัยแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรต่อ เพราะกลัวว่าจะทำเขาให้รำคาญ
บนรถ
ระหว่างที่เราสองคนอยู่บนรถ ฉันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ หรือพูดอะไรออกไป จะมีก็เพียงเสียงเพลงสากลที่พี่คินน์เป็นคนเปิดดังขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด
เอี๊ยดดด~
ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจอย่างแรงเมื่อเขาเหยียบเบรคหลบเข้าข้างทางกระทันหัน จนทำให้ฉันเกือบหน้าขมำใส่คอนโซลหน้ารถ
“ไอ้เวร! ขับรถภาษาอะไรของมันวะ อยากตายนักหรือไง” พี่คินน์ดูหัวเสียไม่น้อยเมื่อถูกปาดหน้ากระทันหัน
“…..”
“นั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวฉันลงไปจัดการมันเอง” เขาพูดด้วยท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยง โดยนิสัยของพี่คินน์เป็นพวกไม่ยอมใครมาตั้งแต่ไหนแล้ว
“อย่ามีเรื่องกันเลยค่ะ นับว่าเรารีบไปทำธุระกันเถอะ” เขาหันมาจ้องหน้าฉัน ก่อนจะเงียบไปชั่วครู่
“แล้วเธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“นับไม่เป็นไรค่ะ”
ฉันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อพี่คินน์มีท่าทีสงบลง เพราะไม่อย่างนั้น คงได้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตกันอีกแน่ๆ
ห้างสรรพสินค้า
ฉันเดินตามพี่คินน์พร้อมถุงกระดาษพะรุงพะรังเต็มสองมือ ส่วนมากล้วนเป็นแต่ข้าวของเครื่องใช้แบรนด์ราคาแพงทั้งนั้น ซึ่งต่อให้ชาตินี้หรือชาติหน้า ฉันก็คงไม่มีปัญญาซื้อได้แน่นอน
สาวน้อยสาวใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันซุบซิบนินทาเมื่อพี่คินน์เดินผ่านไป ความหล่อออร่าที่พุ่งมาแต่ไกลกับความสูงร้อยแปดสิบกว่าเซน มันทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจได้ไม่อยากเลยสักนิด
“ถือให้มันดีๆ นาฬิกาเรือนนั้นราคาหลายแสน ถ้าพังขึ้นมา เธอโดนดีแน่” เขาหันมากำชับฉันด้วยน้ำเสียงดุ
“ค่ะ”
“ไอ้คินน์!” เสียงปริศนาร้องเรียกดังมาแต่ไกล ก่อนที่เราสองคนจะหันไปมองยังต้นตอของเสียง แล้วพบว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนนึง ที่น่าจะเป็นคนรู้จักพี่คินน์
“มาได้ไง?” พี่คินน์เอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปทักทาย
“กูพาน้องมาซื้อกระเป๋าคอลเลคชั่นใหม่ ว่าแต่มึงเถอะมาทำอะไร?”
“สั่งของไว้ เลยแวะมาเอา”
“แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมกูไม่เคยเห็นหน้า เด็กใหม่มึงเหรอ?” เพื่อนพี่คินน์หันมามองฉันที่ยืนหลบอยู่ด้านหลัง
“เปล่า” เขาตอบกลับสั้นๆ ก่อนจะไล่สายตามองสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งวันนี้ฉันส่วมใส่แค่เสื้อยืดธรรมดากับกางเกงยีนราคาไม่กี่ร้อย ต่างจากพี่คินน์ที่ประโคมแบรนด์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“กูก็ว่าอยู่ แบบนี้คงไม่ใช่สเปกมึงหรอกใช่ไหม?”
“ยัยนี่เป็นแค่เด็กในบ้านน่ะ”
