ตอนที่หนึ่ง หยาดเหงื่อ 3
เมื่อไม่ถึงสิบปีมานี้ประเทศเล็กๆ อย่างเบเดนได้ค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่หลายแห่งซึ่งเกือบทั้งหมดอยู่ในรายการทรัพย์สินส่วนตัวของชีคคาลิดจากการเปิดอุตสาหกรรมการเกษตรบนผืนทรายแห้งแล้งรวมทั้งอุตสาหกรรมอัญมณีซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศทำให้ประเทศเบเดนมีประชากรถูกจัดอันดับว่ามีฐานะต้องเปลี่ยนมาเน้นอุตสาหกรรมเกี่ยวกับปิโตรเลียมซึ่งสร้างรายได้มหาศาลให้กับชีคคาลิดแต่ท่านก็นำเงินส่วนนั้นมาพัฒนาประเทศและทำให้รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรสูงมากจากการแบ่งปันหุ้นส่วนในกิจการน้ำมันให้กับประชาชนเบเดนทุกคน
เมื่อทรัพยากรน้ำมันทั่วโลกเริ่มร่อยหรอชีคชารีฟในฐานะรุ่นลูกก็พัฒนาเศรษฐกิจในส่วนของเบเดนด้วยการเปิดสายการบินและการขนส่งทางทะเลรวมทั้งการสนับสนุนเรื่องเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นการขยายกิจการของรัฐให้มีความมั่นคงมากขึ้นแต่ด้วยสถานการณ์โลกในปัจจุบันทำให้ชีคชารีฟเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการรักษาเสถียรภาพของเบเดนเพื่อรองรับปัญหาในอนาคต เขาเริ่มให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะเกี่ยวกับกองกำลังทหารและการแพทย์
โดยครั้งนี้เขากับนาคินมาปฏิบัติภารกิจเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือชีคชารีฟเองในฐานะที่เป็นแพทย์ทหารมาเจรจาในส่วนของเขาส่วนนาคินซึ่งเป็นทหารโดยตรงและมีสายเลือดในกายครึ่งหนึ่งเป็นไทยและเครือญาติของเขาล้วนเป็นคนสำคัญในวงการทหารไทยทำให้มีความสัมพันธ์อันดีการที่เบเดนมีความร่วมมือกับไทยด้วยเรื่องที่ว่าประเทศไทยมีความพร้อมในด้านกลาโหมและด้านการแพทย์ไม่ต่างจากประเทศพัฒนาแล้วแต่ประเทศไทยไม่มีนโยบายแทรกแซงหรือสอดแนมประเทศอื่นทำให้เบเดนเลือกจะแบ่งปันความเจริญก้าวหน้ารวมทั้งจะมีการสานต่อเกี่ยวกับเศรษฐกิจในอนาคตต่อไป
เรื่องงานอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ชีคชารีฟกับพันเอกนาคินเดินทางมาที่เมืองไทยในครั้งนี้แต่ใครเลยจะรู้ว่านอกเหนือจากภารกิจเรื่องงานแล้วพวกเขายังได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติภาระกิจส่วนตัวด้วยนิดหน่อยในยามที่พวกเขาว่าง
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องกระทรวงกลาโหม นายไปคุยเรื่องนี้กับน้าแท้ๆ ของนายฉันว่านายไม่น่ามีปัญหา แต่เรื่องที่ฉันต้องการรู้คือคนที่ฉันต้องการสืบหาได้เบาะแสอะไรบ้างไหม”
นาคินเลิกคิ้วเขาทรุดนั่งตรงข้ามกับชีคชารีฟโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องเอ่ยชวนสักคำ
“ผมยังไม่ว่างพูดเรื่องนั้นหรอกครับ” นายทหารหนุ่มเฉไฉ
“ไม่ได้นะนาคินนายต้องสนใจเรื่องนี้ไม่อย่างนั้นความโสดที่นายหวงมากกว่าชีวิตของนายสูญเสียไปโดยที่นายไม่ได้แก้ไขอะไรเลย”
“ท่านชีคสนใจเรื่องนี้และดูเครียดกับมันมากนะ ไม่อยากให้ผมแต่งงานหรือไง” นาคินถามไปตรงๆ
เรื่องนอกเหนืองานที่ชีคชารีฟตามสืบคือเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวคนไทยที่มารดาของเขากำลังให้ความสนใจ นัยว่าคือครอบครัวของเพื่อนเก่าของท่านและครอบครัวนั้นมีลูกสาวซึ่งท่านหมายมาดที่จะแนะนำให้นาคินได้รู้จักและนำไปสู่การแต่งงานอย่างที่นาคินไม่อาจขัดได้หากท่านต้องการ
เพราะตอนที่นาคินเพิ่งเป็นทารกแรกคลอดมารดาของเขาเสียชีวิตเพราะลิ่มเลือดอุดตันในปอดระหว่างคลอด มารดาของชีคชารีฟได้ขอนาคินซึ่งเป็นลูกของหัวหน้าทหารองรักษ์ของท่านมาเลี้ยงเพื่อให้เป็นเพื่อนกับชีคชารีฟที่คลอดในเวลาไล่เลี่ยกันนาคินจึงรักมารดาของชีคชารีฟเหมือนเป็นมารดาของเขาเองและเขาก็เลือกที่จะสานต่องานของบิดาแท้ๆ ซึ่งก็คือการเป็นองครักษ์ให้ครอบครัวของชีคคาลิด ความเคารพและความเกรงใจที่นาคินมีต่อมารดาของตนเองทำให้ชีคชารีฟเดาได้ว่าหากเมื่อมารดาเขาแนะนำให้รู้จักผู้หญิงคนนั้นแล้วนาคินจะไม่มีทางปฏิเสธมารดาเขาได้หากมารดาเขาอยากให้นาคินแต่งงานด้วย ชีคชารีฟต้องการช่วยเหลือนาคินจึงหาทางติดต่อกับครอบครัวนั้นเพื่อให้ยุติความคิดที่จะยกลูกสาวให้นาคินเสีย
ชีคชารีฟซึ่งหวงความโสดไม่ต่างจากนาคินดูเดือดร้อนกับเรื่องนี้มากกว่านาคินที่ทำท่าเหมือนไม่สนใจอะไรเลยจนชีคชารีฟร้อนใจแทนกับความนิ่งเฉยนั้น
“ที่ฉันเดือดร้อนขนาดนี้นายคิดว่าฉันไม่จริงจังอย่างนั้นหรือ ฉันเตือนเพราะรู้ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นนายไม่อาจขัดใจท่านแม่ได้หรอกนะ เมื่อนายยอมแต่งงานก็ต้องมีคนที่เสียใจ นายก็รู้”
นาคินมีสีหน้าค่อนข้างปั้นยากเมื่อชีคชารีฟจริงจังกับเรื่องนี้มากขึ้นทุกที เขากลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากเมื่อรู้ว่าชีคชารีฟต้องการสื่อถึงอะไร
องครักษ์ที่รายล้อมอยู่ก็ทำท่าทางเงี่ยหูเพื่อให้ได้ยินสิ่งที่ชีคชารีฟพูดมากที่สุดอย่างสนอกสนใจ เพราะถึงจะทำงานใกล้ชิดกับท่านชีคและอยากจะเชื่อว่าท่านชีคคือชายแท้ แต่ข่าวลือหนาหูและสิ่งที่ชีคชารีฟแสดงออกมามันทำให้พวกเขาต้องมีงานเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งนอกจากการตามอารักขาและช่วยงานของชีคชารีฟนั่นคืองานสอดแนมความสัมพันธ์ระหว่างชีคชารีฟกับนาคินเพื่อรายงานท่านชีคคา จากที่พวกเขาไม่คิดอะไรก็ต้องคิดเพราะมารดาของชีคชารีฟเองแท้ๆ ที่เป็นฝ่ายสงสัยพวกเขาเลยพลอยคิดมากและคอยจับผิดตามโดยที่ชีคชารีฟและพันเอกนาคินยังไม่แระแคะระคายเรื่องนี้
“ผมบอกแล้วว่าท่านชีคได้ข่าวมาผิดๆ ท่านชีคคาไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของผมสักนิด ท่านเพียงแค่ให้คนของท่านสืบหาครอบครัวนั้นเพียงเพราะว่าเป็นครอบครัวของเพื่อนเก่า ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรหากท่านจะพูดถึงเรื่องดูตัวหรืออะไรก็ตามแต่เพราะถึงตอนนั้นหากผมไม่อยากแต่งงานท่านก็ไม่สามารถบังคับได้” นาคินบอกอย่างไม่ยี่หระ
“นายไม่มีทางปฏิเสธท่านแม่ฉันได้หรอก หากท่านแม่ต้องการไม่ว่านายต้องการอะไรที่แตกต่างฉันก็เห็นท่านแม่กล่อมให้นายทำตามใจท่านทุกครั้ง เพราะฉะนั้นเรื่องแต่งงานที่นายชะล่าใจนี่ก็เหมือนกัน ฉันมีข่าวกรองมาแล้วว่าท่านแม่จะทำฉันไม่ต้องการให้นายแต่งงาน ดังนั้นเราก็จำเป็นที่จะต้องตามหาครอบครัวนั้นเพื่อเจรจาสกัดกั้นก่อนที่ท่านแม่จะได้เจรจากับพวกเขา” น้ำเสียงเครียดเข้มและจริงจังของชีคชารีฟทำให้นาคินปรายตามามองฝ่ายตรงข้ามจริงจังมากขึ้น
ชีคชารีฟไม่ต้องการให้เขาแต่งงานไม่ใช่เพราะเป็นห่วงเขากลัวว่าเขาจะถูกคลุมถุงชนกับคนที่ไม่ได้รัก มันเป็นเพียงความต้องการส่วนตัวของเขาเท่านั้นที่ไม่อยากให้นาคินแต่งงาน นาคินรู้ทันแต่ก็ไม่อยากพูดถึง แต่บางครั้งเมื่อพูดเรื่องนี้กันมากเข้าเขาก็ต้องปรามชีคชารีฟเอาไว้เพื่อไม่ให้กดดันเขาเรื่องนี้มากจนเกินขอบเขตความอดทนของเขานัก
“ผมรู้ว่าท่านชีคคิดอะไรอยู่และผมก็ขอยืนยันอีกครั้ง อย่าได้คิดว่าสิ่งที่ท่านคิดอยู่จะเกิดขึ้นจริงได้เลิกคิดเลิกหวังเถอะ แล้วก็เตรียมตัวเดินทางกลับเบเดนไปทำงานต่อ เราจะไม่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระที่ไทยอีกแม้แต่สักวัน” นาคินลุกขึ้นอย่างจริงจังไม่อ่อนข้อให้กับชีคชารีฟที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่สายตาเหมือนอยากจะสั่งให้เขายอมจำนนในสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่นั่นไม่มีผลต่อความขลาดกลัวของนาคินแม้แต่น้อย
“ถ้านายรู้ว่าฉันคิดอะไร นายก็ทำตามที่ฉันบอกเพราะนั่นคือผลประโยชน์ของนาย”
“มันไม่จำเป็นหรอกครับ เรื่องนั้นท่านชีคไม่ควรกังวลเลย ผมว่าลุกเถอะครับ เราควรกลับขึ้นห้องกันได้แล้ว ที่นี่ไม่เหมาะกับการนั่งเล่นชมวิวสักเท่าไหร่นะครับ”
ชีคชารีฟลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเก้าเซนติเมตรของเขาอย่างพรวดพราดเพราะขัดใจกับการปฏิเสธของนาคิน
“ฉันไม่ชอบเลยนาคินที่นายเป็นคนใจแข็งและเฉยชากับทุกอย่างอย่างนี้” ชีคชารีฟหลุดคำพูดออกมาแล้วก็ก้าวขาไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปบนห้องพัก องครักษ์เดินตามขึ้นไปบางส่วนเหลืออีกส่วนเอาไว้เฝ้าที่ด้านล่าง...
นาคินถอนหายใจหนักๆ อยู่สองสามครั้งก่อนจะเดินออกไปเช่นกัน ชีคหนุ่มและนายทหารคนสนิทไม่รู้ตัวเลยว่าผู้ติดตามที่เงี่ยหูฟังพวกเขาอย่างที่สุดนั้นได้พูดว่าอย่างไรบ้างในยามลับหลังของพวกเขา
“เฮ้อ... ฉันสาบานว่าแปลความหมายในประโยคที่พวกเขาคุยกันให้เข้าใจไม่ได้แต่เชื่อว่าคำพูดของชีคชารีฟที่เราจะเอาไปรายงานต้องทำให้ท่านชีคคาหนักใจแน่”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นฉันว่าทางที่ดีแทนที่ท่านชีคคาจะจับนาคินแต่งงานเพื่อแยกออกจากชีคชารีฟท่านควรให้ชีคชารีฟแต่งงานมากกว่า” องครักษ์อีกคนเสริม
“หรือทางที่ดีจับแต่งงานทั้งสองคนจะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าสองคนนี้จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน”
“พวกนายสองคนคิดว่าการแต่งงานมันจะแก้ปัญหาทุกอย่างหรือไง ฉันคิดว่าสำหรับสองคนนั้นได้มาถึงขั้นนี้ท่าทางจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้วล่ะ เราเลิกคิดอะไรแทนเจ้านายเถอะทำหน้าที่ที่ถูกสั่งก็พอแล้ว เราช่วยอะไรไม่ได้หรอก” องครักษ์อีกคนที่เงียบมานานตัดบท
นาคินกับชีคชารีฟดูเหมือนไม่รู้ว่าคนภายนอกคิดกับพวกเขาเช่นไรแต่ถ้าพวกเขารู้คงได้โกรธจนกระอักเลือดแน่นอน
