8.1 เฝ้าดูแล
หมิงยู่ตัวแข็งค้างไปโดยพลัน เขาเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก หัวใจเต้นแรงเต็มไปด้วยความสับสนมึนงง
ข้าทำอะไรลงไป...
คำถามเดิมๆ วนเวียนอยู่ในหัว ทว่ากับไร้ซึ่งคำตอบ เมื่อหมิงยู่เหลือบมองไปยังคนร่างเล็กที่นอนไม่ไหวติงอยู่บนเตียง เขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเอื้อมมือไปแตะที่ศีรษะของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“เจ้าชอบบอกว่าข้าใจร้อน ทำอะไรตามใจตัวเอง เกรงว่าจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว อีกทั้งเรื่องในครั้งนี้...เห็นทีจะเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย”
เจียวซือ...ข้าเพิ่งต่อลมหายใจให้เจ้า
หมิงยู่ในร่างของฉินจางเหว่ยก้าวเดินไปที่ประตู ก่อนตะโกนเรียกเด็กรับใช้ด้านนอกให้ไปหาผ้ากับน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้หลานอานฉวน รวมทั้งออกคำสั่งให้เหล่าองครักษ์ที่เฝ้าอารักขาอยู่โดยรอบ รีบไปลากตัวหมอฝีมือดีที่สุดของเมืองมาที่นี่โดยเร็ว
แผลของหลานอานฉวนนับว่าหนักหนามากทีเดียว แผ่นหลังปริแตกและบวมปูด ผิวที่เคยขาวเนียนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำดูน่าสยดสยอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนเด็กรับใช้สองคนต้องรีบยกมือขึ้นปิดจมูกของตน
“อาการเป็นเช่นไร”
ชายแก่ท่าทางอาวุโสจับชีพจรและตรวจดูบาดแผลอยู่นาน ก่อนจะหันมาส่ายหน้าพร้อมกล่าวอย่างหมดหวัง “เรียนท่านอ๋อง อาการเด็กคนนี้สาหัสนัก กระหม่อมเกรงว่าไม่พ้นคืนนี้...”
ครั้นเห็นคิ้วหนาขมวดเข้าหากันเป็นปม ชายแก่จึงเลี่ยงที่จะกล่าวคำว่า ตาย ออกมา และเปลี่ยนเป็นประโยคอื่นที่ดีกว่า “แต่หากรอดคืนนี้ไปได้ ก็น่าจะมีหวัง...แต่เรียนท่านอ๋องตามตรง โอกาสช่างน้อยนิดนักจนแทบจะเป็นไปไม่ได้”
หมิงยู่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ เขาเพียงชำเลืองมองหลานอานฉวน ก่อนออกปากไล่ทุกคนให้ออกไปจากห้อง
“แต่ว่าพวกกระหม่อมยังไม่ได้ทำความสะอาด...”
“เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“เอ๊ะ ท่านอ๋องหรือ ตะ...แต่ท่านเป็นท่านอ๋อง คิดว่าคงไม่เหมาะหาก...”
สายตาเย็นชาหันมองมาทางเด็กรับใช้คล้ายจะเป็นการข่มขวัญ เด็กหนุ่มทั้งสองจึงรีบหุบปากของตนและวิ่งกระโจนออกจากห้องตามคำสั่งทันที
หลังจากประตูได้ปิดลงแล้ว หมิงยู่จึงนำผ้าชุ่มน้ำและบิดให้พอหมาด บรรจงเช็ดไปที่ร่างกายของหลานอานฉวนอย่างเบามือ
ความร้อนจากผ้าทำหลานอานฉวนสะดุ้งตัวโหยง ยิ่งน้ำสัมผัสโดนบาดแผล กรามของเขาก็ยิ่งขบเข้าหากันแน่น ร่างกายสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดทรมาน
“หากเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ต้องสู้ด้วยตัวของเจ้าเอง”
เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู ก่อนจะนำสมุนไพรระงับปวดที่หมอคนเมื่อครู่ให้ไว้ มาบดให้ละเอียดและทาลงไปที่แผลเนื้อแดงนั้น ความแสบร้อนแพร่กระจายไปทั่วร่าง กล้ามเนื้อทุกส่วนหดเกร็ง เสียงร้องดังลอดออกมาจากริมฝีบาง เหงื่อเม็ดแล้วเม็ดเล่าหยดลงยังผ้าปูเตียงจนเปียกแฉะ
ทรมาน...
หมิงยู่มองภาพตรงหน้าอย่างเวทนา พลางคิดว่าหากปล่อยให้หลานอานฉวนตายไปตั้งแต่ต้น เจ้าตัวก็คงไม่ต้องรู้สึกทรมานเช่นนี้หรือไม่ เป็นเขาเองหรือเปล่าที่ทำให้หลานอานฉวนต้องทนเจ็บปวดอยู่เช่นนี้
คนร่างใหญ่ค่อยๆ เอนตัวลงนอน พลางขยับร่างที่นอนคว่ำอยู่เข้ามาในอ้อมแขน ใบหน้าชื้นเหงื่อซุกหน้าลงที่แผงอกของหมิงยู่ องค์ชายปีศาจสัมผัสได้ถึงลมร้อนและอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างเร็ว รวมทั้งเสียงร้องแผ่วเบา หากแต่ส่งผลร้ายแรงต่อหัวใจของเขายิ่ง
มือใหญ่ค่อยเกาะกุมมือเล็กไว้ จูบเบาๆ ที่เรือนผมเงางาม พยายามที่จะไม่ให้สัมผัสโดนแผ่นหลังของอีกฝ่าย “ข้าจะอยู่กับเจ้าตรงนี้ หากเจ้าไม่ไหวก็ไม่จำเป็นต้องฝืนทนให้ทรมานกาย ความตายไม่น่ากลัวหรอกเจียวซือ ขอแค่เจ้าทำใจให้สบาย ข้าสัญญาจะอยู่กับเจ้าตรงนี้ ไม่ทิ้งเจ้าไปไหนเด็ดขาด”
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ปิดสนิท เสียงนกร้องขับขานเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่ ร่างบุรุษที่เกยกอดแนบชิดกันอยู่ค่อยบิดตัวเล็กน้อย ทว่ายังไม่มีใครยอมลืมตาตื่น จนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยาม ในที่สุดหลานอานฉวนก็รู้สึกตัว
เปลือกตาขยับขึ้นช้าๆ ทันใดความเจ็บปวดพลันถาโถมเข้าใส่โดยไม่ทันตั้งตัว เจ็บปวดราวกำลังถูกคมมีดเฉือนหนังอยู่ก็ไม่ปาน ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนทรมาน แม้กระทั่งหายใจก็ยังรู้สึกว่าร่างกายแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ทว่าเมื่อหลานอานฉวนเงยหน้ามองคนที่ตัวเองนอนทับอยู่ กลับทำเขาตื่นตกใจจนลืมความเจ็บปวดไปชั่วครู่
ชายที่ทรมานเขาเมื่อคืน ทำไมถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้!?
ใบหน้านั้นยังคงหลับสนิท หากแต่ยังคงกำมือของหลานอานฉวนไว้แน่น เด็กหนุ่มรีบเกาะมือของตนออกก่อนมองหน้าบุรุษผู้นี้ด้วยความฉงนสงสัยว่าเหตุใดทั้งสองถึงได้มานอนกอดกันอยู่เช่นนี้ได้
หลานอานฉวนยันตัวลุกขึ้น พยายามจะพาร่างที่อ่อนแรงของตนไปที่ประตู แต่ก้าวขาได้ไม่ทันไรก็ล้มตัวลง ยิ่งฟื้นคืนสติมากเท่าไรความรู้สึกเจ็บปวดก็ก่อตัวแรงขึ้นเท่านั้น
