8.2 เฝ้าดูแล
เสียงหอบหายใจทำหมิงยู่ลืมตาตื่นพลันรีบลุกขึ้นทันที ร่างใหญ่สาวเท้าเข้ามาหลานอานฉวนอย่างไม่รอช้า อุ้มร่างของเด็กหนุ่มขึ้นและนำมาวางบนเตียงดังเดิม “ทำอะไรของเจ้า แผลยังไม่หายดี ลุกขึ้นเดินเช่นนี้อยากตายหรือไง”
หมิงยู่ทำเสียงดุใส่ พลางสำรวจมองแผลของหลานอานฉวนอย่างร้อนรน กลัวว่ามันจะปริแตกหรืออักเสบมากกว่าเดิม
“ข้าจะไปหาน้องสาวข้า” หลานอานฉวนตอบเสียงเรียบ ใบหน้าก้มงุดไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย “ท่านเองก็คงสนุกมากพอแล้วกระมัง ปล่อยข้ากลับบ้านได้หรือยัง”
“บ้านงั้นหรือ? บ้านที่ไม่เคยต้อนรับเจ้า ทำไมถึงอยากจะกลับไปอีก”
หลานอานฉวนนิ่งเงียบเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง “ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น ท่านรู้เรื่องในบ้านของข้าดีงั้นหรือ อย่าเอาสิ่งที่เห็นเพียงคืนเดียวมาตัดสินทุกอย่างแบบนี้สิ”
หึ! เห็นคืนเดียวที่ไหน เห็นทุกอย่างตั้งแต่เจ้าเกิดเลยต่างหาก
หมิงยู่หัวเราะในลำคอ พลางแสร้งทำสีหน้าเคร่งขรึม “น้องสาวเจ้าปลอดภัยดี ตอนนี้ให้นางไปอยู่จวนใต้เท้าอู๋ซวนเหยาเป็นการชั่วคราว ส่วนพ่อแม่สารเลวของเจ้า ข้าอนุญาตให้พวกมันกลับจวนของตัวเองได้ หากแต่สั่งคนให้คนคอยเฝ้าจับตาดูไว้”
กล่าวจบร่างสูงก็ลุกขึ้นเดินหายออกไปจากห้อง ทิ้งหลานอานฉวนนั่งทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมดอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะเดินกลับเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ “เมื่อคืนเจ้ายังไม่ได้กินอะไร วันนี้กินสักหน่อยจะได้กินยา”
หลานอานฉวนเงยหน้ามองหมิงยู่ ซึ่งตัวเขาเห็นเป็นฉินจางเหว่ยด้วยแววตาประหลาดใจ
“เจ้าอาจจะเจ็บแผลคงกินไม่ถนัด เดี๋ยวข้าช่วยป้อนนะ” หมิงยู่นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง ยกถ้วยโจ๊กเม็ดบัวขึ้นเป่า ก่อนจะใช้ช้อนตักขึ้นมาเป่าซ้ำและยื่นมาตรงหน้าของหลานอานฉวน ส่งสายตาบอกให้เด็กหนุ่มอ้าปาก
หลานอานฉวนเบือนหน้าหนี ไม่ยอมรับน้ำใจจากบุรุษ
ให้ยอมรับก็บ้าแล้ว!! เมื่อคืนทำร้ายข้าจนปางตาย รุ่งเช้ากลับทำอีกอย่างราวกับเป็นคนละคน “สมองท่านกลับหรืออย่างไร”
หมิงยู่เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม หรือเจ้าอยากกินอย่างอื่น งั้นเดี๋ยวข้า...”
“ไม่จำเป็น ข้าไม่หิว”
หลานอานฉวนทำท่าจะล้มตัวลงนอน ทว่ากลับถูกมือใหญ่รั้งแขนไว้ นัยน์ตาดุดันจ้องมองเหมือนจะตำหนิกลายๆ “ไหนบอกว่าไม่อยากตาย สู้อุตส่าห์กัดฟันรอดมาได้หนึ่งคืน เพื่อจะมาตายในคืนนี้หรือไง”
น้ำเสียงที่แฝงความเย้ยหยันของหมิงยู่ ทำหลานอานฉวนเงยหน้ามองอย่างไม่พอใจก่อนจะคว้าถ้วยโจ๊กจากมือของหมิงยู่มาตักเข้าปากของตนทันที ทั้งยังสั่งให้หมิงยู่ไปหยิบถ้วยยามาให้อีกด้วย
หมิงยู่ลอบยิ้มให้กับท่าทางเด็กน้อยของหลานอานฉวน อยากจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มของอีกฝ่ายแต่ก็สะกดกลั้นใจไว้เพราะเกรงว่าจะควบคุมตนไม่ไหวและทำอะไรที่อาจจะมากกว่าการหยิกแก้ม
หลังจากกินข้าวและยาเป็นที่เรียบร้อย หมิงยู่ก็สั่งให้หลานอานฉวนหันหลังมาทางตน เพื่อที่เขาจะได้ทายาที่แผลให้ คราแรกหลานอานฉวนลังเล แต่เมื่อได้ยินคำสบประมาทที่ว่าหลานอานฉวนคงกลัวว่าจะทนเจ็บไม่ไหวใช่หรือไม่
เด็กหนุ่มผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ทนไม่ได้ที่โดนดูถูกจึงรีบหมุนตัวทันที ยืดหลังตรง สองมือกอดอก เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่แล้วเมื่อตัวยาสัมผัสโดนบาดแผล หลานอานฉวนตัวสั่นสะท้าน เอียงตัวซ้ายขวาหลบมือของหมิงยู่ตามสัญชาตญาณ
องค์ชายปีศาจเริ่มหงุดหงิดที่เด็กหนุ่มไม่ยอมนั่งเฉยๆ จึงกระโดดขึ้นไปนั่งประจันหน้ากับหลานอานฉวนบนเตียง ดึงเขาเข้ามากอดไว้ ให้ร่างเล็กนั่งอยู่ระหว่างขาทั้งสองของตน ก่อนโน้มตัวของตนไปทางด้านหน้าเล็กน้อย มือหนึ่งโอบรัดรอบเอวเพื่อตรึงเด็กหนุ่มไม่ให้ขยับหนี อีกมือบรรจงทายาลงยังแผ่นหลังอย่างเบามือ
“เจ็บ...” หลานอานฉวนเกยหน้าอยู่บนไหล่แกร่ง หายใจหอบเหนื่อย สีหน้าทนทุกข์ทรมานเหลือคณนา
“ข้ารู้ เจ้าอดทนหน่อย อีกเดี๋ยวจะรู้สึกดีขึ้น”
“อือ เจ็บ”
“อยู่นิ่งๆ ข้าทำไม่ถนัด”
ยิ่งตัวยาซึมลึก สติของหลานอานฉวนก็เริ่มพร่ามัว แสบร้อนจนแทบจะทนไม่ไหว กระทั่งเผลอกัดลงที่ไหล่ของหมิงยู่จนเกิดเป็นรอยฟันเด่นชัด
หมิงยู่รู้สึกเจ็บแปลบที่ไหล่ เพราะถึงแม้ร่างกายจะไม่ใช่ของตน แต่ความรู้สึกนั้นเป็นของจริง
“เจ้าเป็นสุนัขหรือไงกัน” หมิงยู่นึกขันในใจ แต่เมื่อหันมองอีกฝ่าย ก็พบว่าหลานอานฉวนฟุบหน้าสลบกับไหล่ของตนเสียแล้ว มุมปากหมิงยู่ยกยิ้ม พลางจูบลงยังใบหน้าที่แดงเรื่อของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ “เจ้าสุนัขโง่ของข้า”
