7.2 สุดกลั้น
อู๋ซวนเหยาสะบัดชายเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ แต่แล้วหางตาพลันเหลือบเห็นชายคนหนึ่งยืนพิงกรอบประตูอยู่ ท่าทีของผู้มาเยือนสุขุมเยือกเย็นเฉกเช่นทุกที หากแต่แววตาที่จับจ้องมาที่เด็กชายดูคล้ายมีบางอย่างแอบแฝงอยู่
อู๋ซวนเหยารีบสาวเท้าเข้าไปหาร่างสูงนั้นก่อนโค้งศีรษะของตนช้าๆ “ท่านอ๋อง กระหม่อมขออภัยในความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เอ่อ...ถ้าอย่างไร กระหม่อมขอชดเชยเป็นสุราหายากและสาวงามอีก...”
“เจ้านั่น บังอาจมารบกวนเวลาเสพสุขของข้า” ฉินจางเหว่ยกล่าวเสียงเย็นพลางชี้นิ้วไปทางหลานอานฉวน “ใต้เท้าอู๋จะลงโทษเช่นไร”
อู๋ซวนเหยาปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางเหลือบมองหลานอานฉวนแวบหนึ่ง แล้วจึงหันกลับมาโค้งศีรษะให้ฉินจางเหว่ยอีกครั้ง “ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ ที่อานฉวนทำลงไปหาได้ตั้งใจไม่ กระหม่อมมีความเห็นว่า...”
“ท่านจะออกรับแทนงั้นสิ”
“มิกล้าท่านอ๋อง เพียงแต่...”
“ข้าไม่สนหรอกนะว่าเหตุผลคืออะไร แต่มันทำให้ข้าอารมณ์เสียถึงสองครั้งสองครา หากไม่สั่งสอนให้หลาบจำ เห็นทีคงไม่ใช่นิสัยของข้า”
ฉินจางเหว่ยเดินมาหยุดตรงหน้าหลานอานฉวน กระชากผมเด็กหนุ่มให้แหงนหน้าขึ้นเพื่อจะได้มองใบหน้าที่หยิ่งจองหองได้ถนัดตา
ฉินจางเหว่ยผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าอีกครึ่งของหลานอานฉวน มุมปากยิ้มเหยาะพร้อมหัวเราะในลำคอ “สายตาของเจ้ามันหมายความว่าเช่นไร ไม่มีความยำเกรงข้าเลยใช่หรือไม่”
หลานอานฉวนไม่ตอบ ทำสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม จริงอยู่ที่เขาไม่อยากมีเรื่อง แต่จะให้คุกเข่าอ้อนวอนขอร้อง ก็หาใช่สิ่งที่เขาพึงกระทำ แม้จะเป็นเด็กหนุ่มไร้การศึกษาแต่ก็มีศักดิ์ศรี หากเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเขาก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรือเกรงกลัวผู้ใด
“อวดดีนัก วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าอ้อนวอนขอชีวิตจากข้าให้จนได้”
ฉินจางเหวยหันไปกระซิบบางอย่างกับอู๋ซวนเหยา ทำบุรุษนิ่งงันในทันที ใบหน้าของเขาตื่นตกใจ กระทั่งเสียงที่กล่าวออกมายังสั่นกลัว “ทะ...ท่านอ๋อง กระหม่อมว่า...”
“คำสั่งข้าถือเป็นเด็ดขาด รีบไปทำตามที่สั่ง ส่วนเรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากันวันหลัง จะจับจะฆ่าใครก็สุดแล้วแต่ใต้เท้าอู๋จะจัดการ”
แม้จะลังเลและไม่อยากทำตามคำสั่งของฉินจางเหวย แต่อู๋ซวนเหยาก็หาได้มีทางเลือกมากนัก เพราะตัวเองก็เป็นเพียงรองเจ้าเมืองตัวเล็กๆ หาได้มีอำนาจมากมาย
ส่วนฉินจางเหว่ยเป็นถึงพระอนุชาในองค์จักรพรรดิ ไหนเลยจะมีใครกล้าต่อกร คงต้องก้มหน้าและทำตามรับสั่งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
ยามราตรีเงียบสงัด หากแต่ยังมีเสียงหอบหายใจดังลอดออกมาจากห้องทางปีกซ้ายของโรงเตี๊ยม แสงสว่างจากเปลวเทียนเล่มเล็กถูกจุดและวางเอาไว้ตามมุมต่างๆ ทำให้บรรยากาศในคืนนี้ชวนวังเวงและเสียวสันหลังยิ่ง
ฉินจางเหว่ยค่อยๆ ย่างกายเข้ามาช้าๆ เงาสูงใหญ่พาดทับลงมาที่ร่างของหลานอานฉวน ที่บัดนี้ถูกตรึงไว้กลางห้อง สองมือถูกมัดรวบไว้กับคานสูง สองเท้าลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย มุมปากมีเลือดไหลซึม เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำ แต่กลับไม่มีเสียงร้องดังลอดออกจากปากเขาสักนิด
“ทำถึงขนาดนี้ยังไม่ร้อง นับถือเจ้าจริงๆ” ฉินจางเหว่ยแสยะยิ้มอย่างคนวิปริต พลางยื่นแส้ในมือให้หลานอานฉวนดู “ปกติแส้เส้นใหญ่และเหนียวขนาดนี้มีไว้ใช้กำราบพวกสัตว์สี่เท้าที่ไม่ยอมเชื่อฟัง สะบัดเพียงสามสี่ครั้งก็หัวหด ยอมศิโรราบโดยง่าย ไหนมาดูสิว่า...กับเจ้า จะใช้ได้ผลไหม”
กล่าวจบแส้ยาวก็ฟาดเข้าใส่ร่างผอมบางทันที ครั้งแล้วครั้งเล่า ผิวขาวเนียนเริ่มปริแตกจนเห็นเนื้อสีแดงสดที่อยู่ภายใน หลานอานฉวนขบฟันของตน พยายามข่มความรู้สึกเจ็บปวดไว้ ลมหายใจเริ่มติดขัด เหงื่อแตกพร่า ทรมานราวร่างกายกำลังถูกฉีกกระชากด้วยแรงมหาศาล
ความเจ็บปวดราวถูกส่งผ่านมายังกลุ่มควันที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ สองมือของบุรุษร่างสูงใหญ่นั้นเริ่มสั่นเทา นัยน์ตาแฝงไปด้วยความปวดร้าว เหมือนหัวใจถูกบีบจนคล้ายจะแตกสลายลงทุกเมื่อ ทุกครั้งที่แส้สะบัดลงกลางลำตัวของหลานอานฉวน หมิงยู่ก็ได้แต่ขบกรามของตนแน่น รู้สึกโกรธตัวเองที่ทำได้แต่ยืนมองอยู่เช่นนี้
ยิ่งถูกฟาดซ้ำเข้าที่เดิมก็ยิ่งทวีความเจ็บปวด น้ำตาเริ่มไหลริน หากแต่ยังไม่ยอมปริปากร้องแต่อย่างใด สติเริ่มเลือนราง กระทั่งหัวใจก็เริ่มเต้นช้าลง
หลานอานฉวนกำลังจะตาย
เด็กหนุ่มหายใจรวยริน แววตาล่องลอย ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกแล้ว ร่างกายเบาบางปราศจากความรู้สึกใดๆ แต่ทว่าในเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิต ก่อนแส้แห่งมัจจุราชจะฟาดเข้าใส่ ริมฝีปากแห้งผากกลับขยับขึ้นลงคล้ายเป็นคำพูด “ข้าไม่อยากตาย ข้าตายไม่ได้ ได้โปรด...”
ประโยคสั้นๆ เพียงสองประโยค ทำเส้นความอดทนขององค์ชายปีศาจขาดสะบั้น เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วแผ่นฟ้า แผ่นดินทั่วหล้าล้วนสั่นสะเทือน ทั่วมหาสมุทรเกิดเกลียวคลื่นสูงถาโถมเข้าใส่ชายฝั่งอย่างบ้าคลั่ง
จนเมื่อรู้ตัวอีกทีหมิงยู่ก็พบว่าตัวเองกำลังอุ้มร่างที่หมดสติของหลานอานฉวนอยู่ เขาค่อยๆ วางเด็กหนุ่มลงบนเตียงอย่างเบามือ และหันมองสำรวจร่างกายของตน ก่อนจะพบว่าร่างกายของเขาในตอนนี้ หาใช่ร่างกายของเขาอีกต่อไป
องค์ชายปีศาจเผลอเข้ามาแฝงกายอยู่ในร่างของฉินจางเหว่ยเสียแล้ว
