6.2 เร่ขาย
“โธ่ เสียดายยิ่งนัก นางให้ราคาดีเสียด้วย รู้อย่างนี้ให้เจ้าเข้าไปรอนางในเรือนก่อนเสียก็ดี ดับไฟปิดประตูก็ขึ้นเตียงได้แล้วมิใช่หรือไง”
หลานอานฉวนชะงักนิ่ง “เมื่อกี้ท่านน้าว่าอย่างไรนะ ให้ราคา... ขึ้นเตียง... หมายความว่าอย่างไร”
ยีจางหลันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “เจ้าก็ไม่ใช่คนโง่ ฟังแค่นี้ก็น่าจะเข้าใจนะ”
หลานอานฉวนคว้าข้อมือของยีจางหลันพลางกระชากให้หยุดเดิน ก่อนหมุนตัวนางให้หันกลับมามองหน้าเขา “ท่านน้าขายข้าให้สตรีผู้นั้นหรือ!?”
“โอ๊ย! ข้าเจ็บนะ”
“ท่านน้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร ถึงข้าจะไม่ใช่ลูกของท่าน แต่ก็เป็นลูกของท่านพ่อ ชายที่ท่านน้าเรียกว่าสามี ถือเป็นครอบครัวเดียวกันมิใช่หรือ”
ยีจางหลันสะบัดมือของตนออกก่อนตบเข้าที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มแรง ทำผู้คนที่เดินผ่านบริเวณนั้นหยุดมองด้วยความตกใจ
“ข้าไม่นับเด็กอัปลักษณ์อย่างเจ้าเป็นคนในครอบครัวหรอก!! น่ารังเกียจ แล้วจะบอกอะไรให้นะ เรื่องนี้หาใช่ข้าเป็นตัวตนคิด หากแต่พ่อของเจ้าต่างหากที่จัดการเรื่องทั้งหมด”
หลานอานฉวนตัวชาไปชั่วครู่ หัวใจเต้นรัวแรงทั้งยังเจ็บปวดอย่างมาก ครั้นลมหายใจยังติดขัดคล้ายมีบางอย่างจุกแน่นอยู่ที่ลำคอจนรู้สึกอยากจะอาเจียน สองมือกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัด
บิดาแท้ๆ ของข้า จงใจขายข้าให้สตรีผู้มักมากในกามอย่างนั้นหรือ!?
ไม่เคยเลี้ยงดู ไม่เคยใส่ใจ ทั้งยังกดขี่ดูแคลนสารพัด มันยังไม่หนำใจหรืออย่างไร เหตุใดบิดาผู้ให้กำเนิดถึงใจร้ายใจดำกับเขาเช่นนี้ หรือว่าเด็กหนุ่มหาใช่บุตรที่แท้จริงของหลานปู้จงอย่างนั้นหรือ
แต่แล้วหัวใจพลันดิ่งวูบเมื่อหลานอานฉวนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า หลานมู่หลันเองก็อาจตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับตนหรือไม่
หลานปู้จงกับยีจางหลันตั้งใจจะขายพวกเขาทั้งคู่!?
ไม่ต้องคิดอะไรต่อให้เสียเวลา ร่างสูงโปร่งรีบวิ่งกลับไปยังจุดเดิมที่แยกจากเด็กสาวทันที แม้จะได้ยินเสียงยีจางหลันตะโกนด่า เขาก็ไม่สนใจและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
หลานอานฉวนตะโกนเรียกชื่อหลานมู่หลันราวคนเสียสติ ใจของเขาร้อนรนจนแทบคลั่ง ขณะวิ่งถามผู้คนที่อยู่แถวนั้นแต่ก็ไม่มีเลยสักคนที่เห็นน้องสาวของเขา เพราะในงานเทศกาลหาได้มีเพียงชาวบ้านในละแวกนั้น หากแต่รวมไปถึงคนจากหมู่บ้านอื่น หรือกระทั่งคนจากเมืองหลวงก็ยังเดินทางมาร่วมงานนี้
หลานอานฉวนอับจนหนทาง ดวงตาเริ่มร้อนผ่าวคล้ายจะร้องไห้เต็มที เจ้าอยู่ที่ไหนนะหลันเอ๋อร์...
เดินตรงไป
จู่ๆ หลานอานฉวนก็ได้ยินเสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหู แต่ครั้นหันมองกลับไม่พบใคร ทำเด็กหนุ่มได้แต่ยืนงงและแปลกใจไม่น้อย
ตรงไปยังโรงเตี๊ยมริมแม่น้ำ
เสียงเยือกเย็นดังขึ้นอีกครั้ง ทำขนบนตัวหลานอานฉวนลุกชูชันด้วยความหวาดหวั่น เขากลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ใจนั้นเต้นแรงมากยิ่งกว่าเดิม
แต่หากยืนอยู่เช่นนี้ต่อก็คงหาตัวหลานมู่หลันไม่เจอแน่ หลานอานฉวนจึงกลั้นใจและออกวิ่งไปตามทางที่เสียงปริศนาบอก
ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ดูแปลกพิลึกชอบกล เหตุใดถึงมีห้องแยกเป็นสัดส่วนเยอะเพียงนี้ ทั้งการตกแต่งและดนตรีที่บรรเลงชวนให้รู้สึกมวนท้อง ไม่ต้องพูดถึงคู่ชายหญิงที่พากันเดินคล้องแขนพลางคลอเคลียกันตลอดทาง
โถงทางเดินที่ถอดยาว หลานอานฉวนได้ยินเสียง อืม อ่า อืม อ่า เป็นระยะ ทำเจ้าตัวที่ถึงแม้จะไม่เคยในเรื่องแบบนี้ รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาไม่น้อย
“หลันเอ๋อร์!! เจ้าอยู่ที่นี่หรือไม่!!”
หลานอานฉวนตะโกนเรียกพลางทุบไปที่บานประตูทั้งซ้ายขวา อย่างมิคิดเกรงใจ ทำหลายคนที่กำลังแลกเปลี่ยนอุณหภูมิร่างกายชะงักนิ่งไปตามๆ กัน
“กรี๊ด!!!!!!”
เสียงกรีดร้องของใครบางคนทำหลานอานฉวนสะดุ้งตกใจ รีบเร่งวิ่งไปยังต้นเสียงทันที ทว่าทันทีที่ถีบบานประตูเข้าไป กลับไม่พบหลานมู่หลัน หากแต่เป็นชายผู้หนึ่งที่รู้สึกคุ้นหน้าหลานอานฉวนยิ่งนัก
คนที่ท้าดวลประลองธนูในตอนนั้น!?
บุรุษที่คร่อมอยู่เหนือร่างสตรี รีบลุกขึ้นด้วยความตกใจ พลางเอื้อมมือควานหาผ้ามาคลุมร่างที่เปลือยเปล่าของตัวเองไว้
“ข้าขออภัย”
ใบหน้าของหลานอานฉวนแดงเรื่อด้วยความอับอาย เขารีบผงกศีรษะขอโทษชายเบื้องหน้าเป็นการใหญ่ ก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากห้องโดยเร็ว
หลานอานฉวนยกมือขึ้นแนบอกพยายามบังคับใจที่เต้นแรงของตนให้เป็นปกติ แต่ทว่ายังไม่ทันที่เจ้าตัวจะทันหายตื่นเต้น ก็พลันได้ยินเสียงกรีดร้องของหลานมู่หลันดังขึ้น
“ท่านพี่!! ท่านพี่!! ช่วยข้าด้วย!!”
เด็กสาวดิ้นรนอยู่ภายใต้ร่างใหญ่พลางกรีดร้องสุดเสียง ข้อมือเล็กถูกจับรวบไว้เหนือศีรษะทั้งยังถูกกดจนเป็นรอยแดง เมื่อร่างกายส่วนบนไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิด น้ำตาก็พรั่งพรูออกมาไม่หยุด ปากร่ำร้องเรียกหาพี่ชายของตนแทบขาดใจ
เสียงครึกโครมดังขึ้นก่อนบานประตูจะพังครืนลง ฝ่าเท้าเตะเข้าที่คางของชายที่กำลังรังแกเด็กสาวจนล้มกลิ้ง หนำซ้ำยังถูกเตะเข้าที่ศีรษะและหน้าท้องหลายทีจนสลบเหมือดและแน่นิ่งไป
“พี่มาแล้วหลันเอ๋อร์! พี่มาช่วยเจ้าแล้ว” สองมือรีบดึงร่างบางเข้ามาแนบกาย ก่อนดึงผ้าปูเตียงขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของหลานมู่หลัน และกอดนางที่กำลังสั่นกลัวอย่างเวทนา
นัยน์ตาของหลานอานฉวนฉายแววโกรธเกรี้ยวขึ้นหลายส่วน ทั้งยังมีกลิ่นอายของความดุร้ายเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน “พี่ขอโทษนะ พี่น่าจะเอะใจให้เร็วกว่านี้ ไม่น่าปล่อยเจ้ามากับ...ไอ้เดรัจฉานนั่น!!”
