6.1 เร่ขาย
“ทำไมท่านพี่ปฏิเสธจะสู้กับชายผู้นั้นเล่าเจ้าคะ ข้าเชื่อว่าอย่างไรท่านพี่ก็ต้องชนะแน่” หลานมู่หลันบ่นอุบตลอดทางพลางทำแก้มป่องไปด้วย
หลานอานฉวนลูบศีรษะของน้องสาวตัวน้อยอย่างเอ็นดู “ข้าไม่ชอบการแข่งขัน ไม่อยากมีเรื่องกับใครด้วย”
“แต่ท่านพี่เคยบอกว่าท่านพี่อยากสอบเป็นขุนนางไม่ใช่หรือเจ้าคะ หากท่านพี่ไม่มีความทะเยอทะยานเช่นนี้ แล้วจะทำตามทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้อย่างไร”
หน้าผากเนียนถูกฝ่ามือใหญ่ตีเข้าหนึ่งที “อายุยังไม่เท่าไหร่ รู้จักด้วยหรืออะไรคือความทะเยอทะยาน”
หลานมู่หลันยกมือขึ้นลูบหน้าผากของตนพลางเม้มปาก “ท่านพี่ ท่านอย่าดูถูกข้าสิ ข้าหลานมู่หลัน เป็นน้องสาวของท่าน ก็ต้องฉลาดเหมือนท่านสิเจ้าค่ะ”
เด็กสาวถูไถใบหน้าของตนไปมาที่แขนของหลานอานฉวน พลางดึงมากอดแนบกายด้วยความรักและภูมิใจในตัวพี่ชายของตน เฉกเช่นกับหลานอานฉวนที่รู้สึกว่าตนนั้นโชคดีเหลือเกินที่มีน้องสาวเช่นนาง แม้บิดาจะทำเรื่องร้ายกาจหรือเป็นที่รังเกียจของใครก็ตาม ขอเพียงมีหลานมู่หลันอยู่เคียงข้าง เขาก็ไม่นึกเศร้าใจอีกแล้ว
“ขอบใจที่อยู่ข้างข้านะหลันเอ๋อร์”
ความอบอุ่นท่วมท้นหัวใจ สายใยความห่วงใยของพวกเขานั่นแน่นแฟ้นจนยากจะหาใครมาตัดขาด หลานอานฉวนรักและสัญญาจะปกป้องดูแลน้องสาวเพียงคนเดียวให้ดีที่สุด เขาตั้งใจอยากสอบเป็นขุนนางในเมืองใหญ่ อยากมีอำนาจบารมีและทรัพย์สินเงินทองเพื่อเชิดหน้าชูตาให้น้องสาว อยากให้นางได้พบเจอกับคู่ครองที่ดี จึงต้องยกฐานะของทั้งคู่ให้ดีขึ้นกว่านี้ให้จนได้
หลานมู่หลันเองก็รักและเทิดทูนพี่ชายคนนี้สุดหัวใจ นางไม่เคยคิดว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ถูกบิดามารดาพร่ำบอกว่าเป็นคำสาปของปีศาจ จะเป็นความจริงแต่อย่างใด หลานอานฉวนเป็นบุรุษอ่อนโยน แม้จะไม่ได้เรียนหนังสือก็ยังสามารถที่จะเรียนรู้การอ่านเขียนได้ด้วยตนเอง กระทั่งงานทุกอย่างภายในจวน ก็ได้เขาเป็นคนจัดการดูแลให้ทั้งหมด
หลานอานฉวนหาใช่ปีศาจ แต่เป็นเทพจากสวรรค์ต่างหากเล่า
“พวกเจ้าอยู่นี่เอง พวกข้าสองคนตามหาซะทั่ว”
หลานปู้จงยิ้มกว้างพลางรีบเดินเข้ามาดึงตัวหลานมู่หลันให้เข้ามาหาตน “ไปกับพ่อ พ่อมีคนผู้หนึ่งจะแนะนำให้รู้จัก”
“ใครกันเจ้าคะท่านพ่อ”
“ไปถึงเจ้าก็รู้เอง รีบไปกันเถิด”
หลานอานฉวนทำท่าจะเดินตามไปด้วย แต่ยีจางหลันกลับเดินมาขวางหน้า ยกสองมือขึ้นกอดอกและหรี่ตามองเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เจ้าน่ะ ตามข้ามา”
หลานอานฉวนลังเล ไม่ยอมทำตามที่ยีจางหลันสั่ง เขายังคงมองตามหลังหลานมู่หลันด้วยความเป็นห่วงน้องสาว
“หากเจ้าไม่ตามมา กลับถึงบ้านข้าจะตีเจ้าทั้งคู่ เอาให้จับไข้เลยทีเดียว”
ได้ยินยีจางหลันพูดขู่เช่นนี้ หลานอานฉวนก็ได้แต่กัดฟันกรอด และลากเท้าตามยีจางหลันอย่างไม่มีทางเลือก
เด็กหนุ่มไม่ได้กลัวว่าตนจะถูกตีหรือทำร้ายจนปางตาย เพราะตั้งแต่เด็กเขาก็มักถูกทรมานจนเนื้อตัวนั้นล้วนเต็มด้วยบาดแผลจนชาชิน แต่กับหลานมู่หลัน นางทั้งบอบบางและตัวเล็กเพียงนั้น จะให้โดนทุบตีได้อย่างไร
มีครั้งหนึ่งที่นางวิ่งเข้ามาเอาตัวรับด้ามไม้กวาดแทนหลานอานฉวน แค่ทีเดียวก็ทำเด็กสาวลุกจากเตียงไม่ได้ถึงสองวัน
ทำใจของผู้เป็นพี่ชายเจ็บปวดยิ่งนัก
ยีจางหลันพาหลานอานฉวนเดินลัดเลาะมาที่เรือนใหญ่หลังหนึ่ง ตะโกนเรียกชื่อคนผู้หนึ่งอยู่นาน กระทั่งสตรีท่าทางมีอายุเดินออกมาและเปิดประตูใหญ่ให้พวกเขาทั้งสองเข้าไปด้านใน
“นี่ไงเจ้าค่ะ หลานอานฉวน ลูกเลี้ยงของข้า ถึงจะผอมและตัวเล็กไปหน่อย แต่ทำงานหนักได้ดีนัก”
ทันทีที่นั่งลงยังเก้าอี้ไม้ไผ่ ยีจางหลันก็กล่าวชมลูกเลี้ยงของตนแก่สตรีเบื้องหน้าทันที
สตรีผู้นี้แต่งกายสีสันฉูดฉาด ทั้งยังเครื่องประทินโฉมและเครื่องประดับมากมายบ่งบอกถึงฐานะทางการเงินที่มั่งคั่งไม่น้อย นางยกพัดขึ้นมาขยับเบาๆ ใกล้ริมฝีปากแดงก่อนคลี่ยิ้มที่มุมปาก
“ไม่รู้สิ ดูลูกชายเจ้ายังเด็กอยู่เลย จะทำเป็นหรือ”
“อานฉวนลูกข้าหัวไว เรียนรู้อะไรได้เร็ว ทั้งยังร่างกายแข็งแรง ถึงจะเด็กแต่กำลังวังชาดีนัก ข้ารับรองว่าต้องทำให้ท่านหญิงพอใจอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
สตรีได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า ก่อนสั่งให้หลานอานฉวนลุกขึ้นและหมุนตัวให้นางดู เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ คล้ายพออกพอใจในรูปร่างของเขา โดยเฉพาะใบหน้าและดวงตาที่งดงามนั้น
นางกวักมือเรียกหลานอานฉวนให้เข้ามาใกล้ บอกให้เขาย่อตัวลงเพื่อที่นางจะได้สอนบทเรียนบทแรกแก่เด็กหนุ่ม แต่ทว่าทันทีที่ยื่นมือไปปัดเส้นผมที่บังใบหน้าครึ่งหน้าออก ก็ทำนางถึงกลับผงะจนร้องเสียงหลง
ร่างอรชรตกใจจนเกือบหงายหลังตกจากเก้าอี้ ครั้นตั้งสติได้ก็รีบถอยห่างจากหลานอานฉวนและหันไปตวาดใส่ยีจางหลันทันที
“เจ้านำตัวอะไรมาให้ข้า!!”
“เอ่อ...คือว่า...”
“พวกเจ้าสองคนรีบไปให้พ้นเรือนข้าเดี๋ยวนี้!! ไปสิ!! แล้วจงอย่ามาเหยียบที่เรือนข้าอีก!!”
ยีจางหลันหน้าซีด จ้องมองหลานอานฉวนด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ก่อนจะรีบลุกและเดินออกจากเรือนไป
