5.2 พรสวรรค์
“ท่านพี่! หนึ่งร้อยตำลึงเลยนะเจ้าค่ะ”
หลานอานฉวนยิ้ม “แล้วอย่างไร เจ้าคิดว่าพี่ชายเจ้ายิงธนูเป็นรึไง”
“ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้ อีกทั้งยังเป็นการประลอง ไม่เสียเงินด้วย ท่านพี่ลองสักหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า” หลานมู่หลันคะยั้นคะยอพลางดึงแขนเสื้อพี่ชายไม่หยุด สุดท้ายหลานอานฉวนก็ถอนหายใจและตกลงทำตามคำรบเร้าของเด็กสาว
เสียงโห่ร้องดังขึ้นทันทีที่เด็กหนุ่มยกคันธนูขึ้น ท่าทางของเขาในทีแรกดูเก้ๆ กังๆ เหมือนคนไม่เคยจับคันธนูมาก่อน ทำเอาคนที่มายืนมุ่งดูหัวเราะไปตามๆ กัน
ทว่าทันทีที่ลูกธนูดอกแรกถูกยิงออกไป ความประหลาดใจก็เข้ามาแทนที่เสียงหัวเราะ กลายเป็นความเงียบและเสียงซุบซิบของบรรดาผู้คน
ลูกธนูปักตรงกลางเป้า!
ชายท่าทางมอมแมม ผมยุ่งกระเซิงกระเซิงผู้นี้คือจอมยุทธปลอมตัวมาหรืออย่างไร เหตุถึงยิงเข้าเป้าได้ในดอกเดียว
เหล่าคนที่ตอนแรกก้าวออกมาอยากประลองฝีมือด้วย ต่างพากันถอยกรูดกลับเข้าไปในกลุ่มคนเช่นเดิม ก่อนเสียงของหลานมู่หลันจะดังขึ้นทำลายความเงียบนั้น
“ท่านพี่!! ท่านพี่เก่งที่สุด ท่านพี่ยิงเข้าเป้าเลยนะเจ้าค่ะ ท่านพี่เห็นหรือไม่”
หลานมู่หลันกระโดดโลดเต้นดีใจ พลางหันไปพูดท้าทายหาผู้ที่อยากจะออกมาประลองฝีมือกับพี่ชายตนเองอย่างเริงร่า
และเมื่อไม่มีใครกล้าเสนอตัว นางก็วิ่งตรงไปหาเจ้าของร้านที่ยังคงยืนอึ้งด้วยความตะลึงงัน เด็กสาวหยุดยืนตรงหน้าพลางแบมือสองข้างออกมา “เถ้าแก่ ไหนเงินรางวัล”
เจ้าของร้านอึกอัก เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีผู้ใดสามารถยิงธนูเข้าเป้าได้ในดอกแรก ทั้งยังไม่มีใครกล้าท้าประลองต่อ ทำให้ทุกอย่างที่เขาสู้อุตส่าห์เสียเวลาตระเตรียมมาตลอดทั้งวันจบลงรวดเร็วเช่นนี้ ช่างน่าสงสารตัวเองยิ่งนัก
แต่ในเมื่อประกาศว่าจะให้ก็จำต้องทำตามคำพูดนั้น เจ้าของร้านสูดหายใจลึกก่อนจะหันไปสั่งลูกจ้างให้เข้าไปหยิบถุงเงินที่อยู่ภายในร้านออกมา
หลานมู่หลันเห็นถุงเงินใบใหญ่ก็รีบวิ่งเข้าไปตะครุบโดยเร็ว ก่อนวิ่งนำกลับมาให้หลานอานฉวน
“ท่านพี่ดูสิ! เงินเต็มถุงเลยเจ้าค่ะ”
หลานอานฉวนก้มมองหลานมู่หลันด้วยความงุนงง ก่อนเหลือบมองคันธนูในมือพลางครุ่นคิดว่าเมื่อครู่เป็นฝีมือของตนจริงๆ น่ะหรือ ตั้งแต่จำความได้ เขาไม่แม้แต่จะเคยหยิบอาวุธใดๆ มาก่อน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องยิงธนู ไม่รู้กระทั่งวิธีการจับเสียด้วยซ้ำ
ราวกับร่างกายมันขยับไปเองตามสัญชาตญาณอย่างนั้นแหละ
“ท่านพี่ เงินนี้เป็นของท่านพี่ เช่นนั้นเราไปหาอะไรทานให้อิ่มท้องดีหรือไม่เจ้าคะ”
แต่ยังไม่ทันที่พี่น้องทั้งสองจะได้ก้าวขาออกจากบริเวณนั้น ลูกธนูปริศนาพลันพุ่งผ่านหน้าของหลานอานฉวน เฉียดใบหน้าของเด็กหนุ่มเพียงคืบ ก่อนพุ่งตรงไปปักยังกลางเป้าเช่นเดียวกัน
“ข้าขอประลองกับเจ้า”
เสียงทุ้มต่ำดังลงมาจากระเบียงของโรงเตี๊ยมใกล้ๆ ครั้นหลานอานฉวนเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบบุรุษใบหน้าหล่อเหลาคมคายกำลังมองลงมาที่เขาเช่นกัน
มุมปากยกยิ้มก่อนร่างสูงใหญ่จะกระโดดลงมาที่พื้นด้านล่างราวกับชายผู้นี้มีวรยุทธ์อย่างไรอย่างนั้น
นัยน์ตาดุดันจ้องมองมาที่หลานอานฉวนไม่วางตา ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้และหยิบลูกธนูส่งให้ชายหนุ่ม “ตัดสินในดอกเดียว”
หลานอานฉวนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอื้อมมือไปคว้าถุงเงินจากหลานมู่หลันและยื่นให้บุรุษเบื้องหน้า “ข้าไม่สู้”
หลังจากยัดถุงเงินใส่มือของอีกฝ่ายแล้ว หลานอานฉวนก็จูงมือหลานมู่หลันเดินออกมาในทันที เขาไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองหรือนึกเสียดายเงินนั่นแต่อย่างใด ผิดกับน้องสาวที่ร้องตะโกนจะเอาเงินคืนตลอดทาง
ชายผู้ท้าแข่งมองตามแผ่นหลังตั้งตรงของหลานอานฉวนสลับกับถุงเงินในมือ เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ พร้อมคลี่รอยยิ้มบางเล็กน้อย
“ท่านอ๋อง ไยท่านกระโดดลงมาเช่นนั้นเล่า กระหม่อมตกใจแทบแย่” ชายแก่ผู้ติดตามวิ่งกระหืดกระหอบลงมาจากโรงเตี๊ยม พลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“ไม่สู้งั้นหรือ น่าขันนัก ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่ยักเคยเจอคนอวดดีเช่นนี้มาก่อน”
“ใครหรือพ่ะย่ะค่ะ ใช่ชายที่ยิงธนูเมื่อครู่หรือไม่ ให้กระหม่อมส่งคนไปจับ...”
ฉินจางเหว่ยยกมือห้าม ก่อนโยนถุงเงินในมือให้ชายแก่ “วันนี้วันดี ข้าไม่อยากมีเรื่อง”
ชายแก่ผงกศีรษะรับคำพร้อมประสานมือไว้ข้างหน้า “ถ้าเช่นนั้นเชิญท่านอ๋องทางนี้ กระหม่อมจะนำทางท่านไปหาใต้เท้าอู๋ซวนเหยา”
ฉินจางเหว่ยพยักหน้า แต่ก่อนจะเดินตามชายแก่ไป เขาได้เอียงคอมองมาทางองครักษ์หนุ่มที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่แถวนั้นพลางกวักมือเรียกให้เข้ามาหา
“เจ้าไปสืบมาว่าชายผู้นั้นเป็นใคร ชื่อแซ่อะไร แล้วพักอยู่ที่ไหน”
สั่งการเสร็จ ฉินจางเหว่ยก็สาวเท้าตามชายแก่ที่ยืนหยุดรออยู่ไม่ไกล โดยหารู้ไม่ว่ามีดวงตาสีแดงเข้มราวสีโลหิตจ้องเขม็งมาที่ตัวเขาพร้อมแผ่รังสีอาฆาตมาดร้ายออกมาทั่วร่าง
อ๋องผู้นั้นคือผู้ที่จะมอบความตายแก่เจียวซือ
ร่างดำทะมึนกำหมัดแน่นอย่างเดือดดาล อยากจะบดขยี้ชายที่ตนกำลังจับตามองให้แหลกสลายลงเสียตรงนั้น แต่หากทำเช่นนั้น เจียวซือก็จะไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะแท้จริงได้
หากไม่อยากให้เจียวซือต้องทนทุกข์ไปมากกว่านี้ หมิงยู่ก็จำต้องอดกลั้น สงบใจเอาไว้และอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปอย่างเด็ดขาด
