5.1 พรสวรรค์
หลังจากเห็นหลานมู่หลันเดินออกมาในชุดฉีซงหรูฉวินสีชมพูหวานปานดอกเหมย หลานอานฉวนก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที นึกสงสัยว่าถึงวัยที่นางจำต้องสวมชุดที่เผยเนื้อหนังถึงเพียงนี้แล้วหรือ
“ท่านพี่… ไม่สวยหรือเจ้าคะ ท่านแม่บอกว่าสั่งตัดเพื่อให้ข้าใส่ไปงานเทศกาลในคืนนี้เลยนะเจ้าค่ะ”
เพราะมันสวยเกินไปนี่ล่ะที่ทำให้หลานอานฉวนรู้สึกเป็นกังวล ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดสั่งตัดชุดให้บุตรสาว แต่แล้วเหตุใดถึงยอมกลั้นใจนำเครื่องประดับชิ้นโปรดไปขายเพื่อให้ได้มาซึ่งชุดนี้กัน
หลานปู้จงกับยีจางหลันตั้งใจจะทำการสิ่งใดกันแน่?
งานเทศกาลประจำปีถูกจัดขึ้นในเมืองใหญ่ ระยะทางไม่ไกลจากหมู่บ้านที่หลานอานฉวนอยู่ ทั้งสี่จึงสามารถเดินเท้าไปกันได้ แต่ถึงไม่เดินก็จำต้องเดินอยู่ดีเพราะไม่ว่าจะเป็นม้าหรือล่อ ต่างก็ถูกขายออกไปเพื่อใช้หนี้และเป็นค่าใช้จ่ายภายในจวนจนหมด
เรียกว่าจวนตระกูลหลานเหลือเพียงที่ซุกหัวนอน ขนาดเปิดประตูจวนทิ้งไว้ ขโมยขโจรยังพากันส่ายหน้า
หลานอานฉวนไม่คาดคิดว่าตนจะได้รับอนุญาตให้ไปงานนี้ด้วย ทั้งยังเป็นการออกมาเปิดหูเปิดตาครั้งแรก ทำเจ้าตัวถึงกลับเก็บอารมณ์ตื่นเต้นไม่อยู่ หันซ้ายแลขวาอยู่บ่อยครั้ง
“ท่านพี่ สำรวมหน่อยเถิด เดี๋ยวใครเห็นเข้าจะหาว่าพี่ชายของข้าบ้านะเจ้าค่ะ” หลานมู่หลันกระซิบบอก
หลานอานฉวนผู้เคร่งขรึม จู่ๆ พลันเปลี่ยนเป็นเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็นเสียได้ ทำหลานมู่หลันที่ไม่เคยเห็นพี่ชายในมุมนี้สุดจะกั้นเสียงหัวเราะไหว
“เดี๋ยวเถอะนะ เป็นสตรีหัวเราะเปิดปากเช่นนี้ได้อย่างไร”
ยีจางหลันหันมาทำเสียงดุ ก่อนคว้าแขนของหลานมู่หลันให้เดินห่างจากหลานอานฉวน แต่ออกห่างเพียงครู่เดียวเด็กสาวก็วิ่งกลับไปเดินอยู่ข้างๆ หลานอานฉวนอยู่ดี ทำผู้เป็นแม่ได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับที่นางไร้ความสามารถ ไม่อาจปรามนิสัยดื้อรั้นของบุตรสาวตนเองได้
หลังจากเดินมาได้ระยะ โคมไฟส่องสว่างและเสียงดนตรีก็โหมบรรเลง ทำหลานอานฉวนชะเง้อคอมองอย่างตื่นตาตื่นใจ
“เอาล่ะ เข้าไปในงานแล้วพวกเจ้าก็ทำตัวดีๆ โดยเฉพาะลูกนะมู่หลัน วันนี้พ่อจะพาเจ้าไปรู้จักคนใหญ่คนโต”
หลานปู้จงกล่าวกับบุตรสาวก่อนจะโอบไหล่นางและอีกมือโอบไหล่ยีจางหลันให้เดินไปข้างหน้าพร้อมกับเขา ส่วนหลานอานฉวนก็ได้แต่เดินตามราวกับเป็นบ่าวรับใช้มากกว่าบุตรชาย
หลานปู้จงพาทั้งหมดเดินเข้าไปในโรงน้ำชา กวาดสายตามองหาชายหนุ่มรูปงาม ท่าทางภูมิฐานสักสองสามคนเพื่อเป็นตัวเลือกแก่บุตรสาวสุดที่รัก
“ท่านพ่อ ข้าไม่อยากดื่มชา หากแต่อยากไปเดินเล่นในงานกับท่านพี่” หลานมู่หลันสะบัดมือของหลานปู้จงออกจากไหล่ก่อนวิ่งมาจับมือของหลานอานฉวน
“ท่านพ่อท่านแม่ พวกข้าไปเดินเล่นแถวนี้ได้หรือไม่”
ยีจางหลันกำลังจะตะเบ็งเสียงด่า ทว่าหลานปู้จงรีบยกมือห้ามไว้ เพราะเกรงว่าคนเยอะแบบนี้อาจจะทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าและกลายเป็นขี้ปากของพวกคนปากเปราะ
แค่เรื่องที่ตระกูลหลานตกอับ จนต้องขายทรัพย์สินของบรรพชนเพื่อยื้อชีวิต ก็ทำหลานปู้จงอับอายขายหน้ามามากพอแล้ว อย่าให้ต้องมีเรื่องพ่อแม่ใจยักษ์ทรมานลูกของตนเพิ่มเข้ามาด้วยเลย
“ปล่อยพวกเขาไปเถิด พวกเราไปคุยกันเองก่อนก็ได้ ไว้พวกเขากลับมาค่อยว่ากัน” หลานปู้จงเกลี้ยกล่อมภรรยา จนนางยอมอนุญาตให้พี่น้องทั้งสองออกไปเที่ยวงานได้
หลานมู่หลันยิ้มกว้างทันที รีบจูงมือหลานอานฉวนเดินออกไปด้านนอกจนกลืนหายไปกับฝูงชน
“น่าแปลกที่วันนี้ท่านพ่อท่านแม่ใจดี พาพวกเรามางาน ทั้งยังให้มาเดินเล่นด้วยกันเช่นนี้”
หลานมู่หลันไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจว่าเหตุการณ์นี้ไม่ปกติ
ต่างจากหลานอานฉวนที่ตั้งแต่ออกจากจวนมาก็เฝ้าสังเกตการกระทำของหลานปู้จงและยีจางหลันมาตลอด ทั้งสองซุบซิบพูดคุยบางอย่างดูน่าสงสัยชอบกล
ปกติงานประจำปีจะมีเพียงหลานปู้จงและยีจางหลันเท่านั้นที่ได้มา กระทั่งหลานมู่หลันเองนานๆ ครั้งถึงจะได้ติดตามทั้งสองออกมาด้วย ส่วนหลานอานฉวนน่ะหรือ เพียงเหลือบมองประตูจวนก็โดนเอาไม้ไล่ตีแล้ว
แต่ถึงจะเป็นกังวลแค่ไหน ก็ไม่อาจลดความตื่นเต้นของหลานอานฉวนลงได้ ตั้งแต่เกิดเขาไม่เคยออกนอกจวน นี่เป็นครั้งแรก ทั้งยังเป็นงานเทศกาล ไม่ให้เขาตื่นเต้นก็แปลกเต็มที
“ท่านพี่ น้ำตาลปั้นน่ากินมากเจ้าค่ะ”
“แต่เราไม่มีเงินนะ”
หลานมู่หลันยิ้มเจื่อนพร้อมกล่าวเสียงอ่อย “จริงด้วย”
หลานอานฉวนยกมือขึ้นลูบไปที่ศีรษะของน้องสาว ก่อนกระชับมือเล็กให้แน่นขึ้นและพานางเดินดูร้านค้าต่างๆ ต่อ
แม้จะไม่มีเงินที่จะซื้อสิ่งใดได้ แต่ทั้งสองคนก็มีความสุข หัวเราะและยิ้มให้แก่กันตลอดทาง
“เชิญท่านชายท่านหญิง! ผู้มากฝีมือ! ผู้เก่งกาจทั้งหลาย! วันนี้ร้านเกาเสี่ยของข้าจัดการแข่งขันประลองธนู ใครคิดว่าแน่ ใครคิดว่าแม่น มาลองทดสอบฝีมือกันได้ ผู้ใดชนะรับไปเลย เงินรางวัลหนึ่งร้อยตำลึง!!”
เสียงประกาศเชิญชวนของเจ้าของร้านตรงหัวมุมถนนเรียกความสนใจของทุกคนให้เดินมามุ่งดูอย่างคับคั่ง
