2.1 ยั่วโทสะ
หากคิดว่าการพูดผลักไสเพียงไม่กี่คำนี้จะทำให้องค์ชายปีศาจล่าถอยล่ะก็ เจียวซือคงคิดผิดเสียแล้ว หมิงยู่เป็นดังชายที่โตแต่ตัวหากแต่ใจดื้อดึงและหัวรั้นเป็นที่สุด
บุรุษถือคติที่ว่าระยะทางพิสูจน์กำลังม้า กาลเวลาพิสูจน์จิตใจคน ขอเพียงเขาพิสูจน์ให้เจียวซือเห็นถึงความจริงใจที่เขามี แม้จะใช้เวลาเนิ่นนานหลายพันปี หมิงยู่ก็พร้อมจะอุทิศทั้งชีวิตแก่เจียวซือ
“กระหม่อมต้องอ่านตำรา องค์ชายโปรดเลิกก่อกวนกระหม่อมเสียที”
เจียวซือกล่าวอย่างรำคาญ เขานั่นสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ราดรดอยู่บริเวณต้นคอของตนมาพักใหญ่แล้ว คราแรกก็ไม่มั่นใจกระทั่งรู้สึกจั๊กจี้ที่ติ่งหูราวถูกบางอย่างลิ้มรสและขบกัดเบาๆ
เซียนหนุ่มรู้ทันทีว่าต้องเป็นหมิงยู่ องค์ชายคงใช้มนตร์พรางตัวมานั่งคลอเคลียตนเองอยู่เป็นแน่
กระทั่งจะขยับตัวหนีก็พลันถูกร่างใหญ่จับกดลงกับพื้นหญ้า ข้อมือเล็กถูกตรึงไว้แน่น พร้อมความรู้สึกร้อนวูบวาบที่แทรกเข้ามาในโพรงปากอย่างรวดเร็ว ทั้งหนักหน่วงและน่าหลงใหลในคราวเดียว ทำสติของเจียวซือเตลิดไปไกล เขาหลับตาแน่นพยายามจะฝืนรสสัมผัสที่หมิงยู่มอบให้ ทว่ากลับยากเย็นหนักที่จะไม่ตอบโต้
“เอ้าๆ ดูเจ้าสิ ไม่ทันไรก็ล้มตัวลงนอนเสียแล้ว คงมั่นใจว่าจะคว้าที่หนึ่งได้อย่างแน่แท้สินะ”
สหายสามคนเดินเข้ามาหาเจียวซือ ก่อนหนึ่งในนั้นจะกล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยันในความสามารถของลูกครึ่งเซียน “กลโกงของพวกปีศาจช่างแพรวพราวนัก มากด้วยมนตร์คาถา ขี้โกง เจ้าเล่ห์ จอมหลอกลวง”
เจียวซือรีบลุกขึ้นยืนพลางขมวดคิ้วแน่น “เหตุใดพวกท่านถึงได้กล่าววาจาดูแคลนข้าเช่นนี้ ที่ข้าสอบได้ที่หนึ่งก็มาจากความสามารถของข้า หาใช่มนตร์ดำคาถาอันใด”
“เชื่อถือพวกปีศาจไม่ได้หรอก”
“ปีศาจแล้วอย่างไร เลือดครึ่งหนึ่งในตัวข้าก็เป็นเทพเฉกเช่นพวกท่าน”
“น่าขันนักที่เจ้ากล้าเอาตัวเองมาเทียบกับพวกข้า”
หมิงยู่รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมากที่ได้ยินคำกล่าวดูหมิ่นเจียวซือ แววตาเย็นเยียบของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาล มือข้างหนึ่งพลันกระตุกพร้อมเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ทำเอาเหล่าเซียนที่กำลังหัวเราะร่าชะงักไปในทันที พวกเขามองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนชี้หน้าด่าเจียวซือ
“เห็นไหม แค่นี้เจ้าก็โกรธเสียจนคุมตัวเองไม่อยู่เสียแล้ว”
“ใช่แล้ว ไม่รู้ทำไมอาจารย์ถึงยอมให้เจ้าเล่าเรียนที่นี่ พวกปีศาจ”
คำก็ปีศาจ สองคำก็ปีศาจ เดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าพูดคำพวกนี้ไม่ได้อีกตลอดชีวิต
แต่ยังไม่ที่หมิงยู่จะทันได้สอนบทเรียนสุดโหดแก่พวกปากบอน บุรุษท่าทีเจ้าสำอางก็เดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือคลี่พัดออกมาบังครึ่งหน้าของตน ปิดบังรอยยิ้มชั่วร้ายที่เผยออกมาอย่างสุดจะกั้นไว้
“พวกเจ้านี่นะ ทำไมพูดจากับเจียวซือเช่นนั้นเล่า” ฟาหยางส่งสายตาตำหนิไปยังสหายของตนก่อนเดินมาหยุดตรงหน้าเจียวซือ “เจ้าก็อย่าถือสาพวกเขาเลยนะ อย่างไรก็สหายกันทั้งนั้น”
“ข้าไม่ถือโทษอยู่แล้ว”
หมิงยู่จ้องฟาหยางอย่างไม่ไว้ใจ เพราะเท่าที่ติดตามดูมา ฟาหยางเป็นเซียนหนุ่มที่มากด้วยความสามารถ เป็นดั่งเพชรเม็ดงามที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน ผู้ใดพบเห็นเป็นต้องเลื่อมใสศรัทธา ยกย่องเขา ถึงขั้นเรียกว่าเป็นมหาบุรุษในคำทำนาย
‘พันปีหมุนเวียนผ่าน จักกำเนิดนับเพียงครั้ง
ดับแสงตะวันเบิกพื้นฟ้า ผู้กอบกู้สองพิภพ’
