บทที่ 2 ดอกไม้งาม
2
ดอกไม้งาม
มนธชัยเงยหน้าขึ้นมองดอกไม้งามที่กำลังย่างก้าวลงมาจากชั้นบนของบ้านอัคราบริรักษ์ เขาถึงกับลืมหายใจไปหลายวินาทีเมื่อได้เห็นสาวสวยและสง่างามเหมือนดอกไม้แรกแย้มอย่างสรัญรัตน์ วันนี้เธออยู่ในชุดเดรสยาวแค่เข่าสีชมพูหวาน เข้ากับรูปร่างอรชรและใบหน้าหวานหยด
สรัญรัตน์ลอบถอนใจเมื่อประสานสายตากับชายหนุ่ม เห็นเขายิ้มให้ก็อดที่จะยิ้มตอบไม่ได้ แม้รอยยิ้มนั้นจะดูจืดชืดไปบ้างแต่มันกลับทำให้ความสวยนั้นพอกพูนขึ้นเป็นทวี
“เอ่อ...สวัสดีครับ คุณตันหยง”
“สวัสดีค่ะ คุณมนธชัย”
“เอ่อ...วันนี้คุณสวยมาก สวยกว่าทุกครั้งที่ผมจำได้”
อีกครั้งที่สรัญรัตน์ต้องถอนใจ เธอได้ยินคำพูดประมาณนี้มากี่ครั้งแล้วนะ ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะภูมิใจหรือเปล่า แต่เธอกลับคิดว่ามันน่าเบื่อเหลือเกิน
“ขอบคุณค่ะ เรารีบไปเถอะค่ะ ฉันไม่อยากกลับบ้านดึก”
เท่านั้น มนธชัยก็แทบประคับประคองหญิงสาวออกจากบ้าน สรัญรัตน์พยายามวางตัวให้เหมาะสม ชายหนุ่มจะได้ไม่เห็นว่าเธอง่ายไปนัก นี่ถ้าเขารู้ว่าสาเหตุที่ทำให้เธอไปดินเนอร์ด้วยคืออะไร เขาจะมีท่าทางยังไงนะ
ไม่นานต่อมา รถคันโก้ของมนธชัยก็เลี้ยวเข้าไปจอดหน้าร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง
สรัญรัตน์เดินตามร่างสูงเข้าไปเงียบๆ เหมือนตอนที่อยู่ในรถ เธอปริปากพูดกับเขาแทบจะนับคำได้ แต่มนธชัยไม่คิดจะสนใจ เพราะไม่ว่าเธอจะพูดหรือไม่พูด เธอก็ยอมไปดินเนอร์กับเขาแล้ว
“คุณตันหยงอยากทานอะไร สั่งได้เต็มที่เลยนะครับ”
หญิงสาวไม่ปฏิเสธ เธอเลือกเมนูอาหารของโปรดแค่อย่างเดียวกับเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มแล้วสั่งอาหารสำหรับตัวเอง โดยเพิ่มอาหารที่คิดว่าผู้หญิงน่าจะชอบอีก 2 อย่าง ต่อท้ายด้วยผลไม้ล้างคอ
“สั่งเยอะขนาดนี้ จะทานหมดหรือคะ”
“ผมน่ะไม่เหลือหรอกครับ แต่คุณตันหยงควรจะทานให้มาก ไม่ต้องกลัวอ้วนหรอกครับ หุ่นอย่างคุณตันหยงยังห่างไกลจากคำว่าอ้วนมาก”
คำพูดที่คล้ายไม่ได้ปั้นแต่ง แต่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ของมนธชัย ทำให้สรัญรัตน์ยิ้มออกแล้วเผลอส่งเสียงหัวเราะออกมาแผ่วเบา
“อย่างฉันนี่นะคะ เพื่อนบอกว่าอวบระยะสุดท้ายแล้ว”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ไม่จริงหรอกครับ คุณตันหยงแค่เริ่มจะอวบ แต่ผมชอบนะครับแบบนี้ มองแล้วเจริญหูเจริญตากว่าคนที่มีหุ่นนางแบบ”
“คุณมนธชัยปากหวานจนมดขึ้นแล้วนะคะ”
“ผมพูดความจริงครับ คุณตันหยงอวบสวยเหมือนดอกไม้แรกแย้มที่ใกล้จะผลิบาน”
สรัญรัตน์คลายยิ้ม ก่อนขอตัวไปห้องน้ำ
“ฉันขอตัวสักประเดี๋ยวนะคะ”
“อ๋อ...เชิญครับ”
ร่างระหงที่ไม่เหมือนหุ่นนางแบบอย่างที่มนธชัยว่า เดินออกไปด้วยมาดนางพญา หญิงสาวรู้สึกปวดศีรษะจนต้องยกมือบีบขมับ เมื่อคืนนี้เธอนอนไม่หลับ เพราะกว่างานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนจะเลิกก็ปาเข้าไปดึกดื่น เธอไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ก็จริง แต่เพราะได้นอนน้อยมัวแต่คิดถึงผู้ชายที่ผ่านเข้ามาทำความรู้จักทุกคนในชีวิต พวกเขาเป็นตัวเลือกของมารดา หาใช่ตัวเลือกของเธอไม่ แล้วเธอคงต้องทำตามคำสั่งแบบนี้จนกว่าจะลงเอยกับใครสักคนที่มารดาพึงพอใจ
“อุ๊ย!!!” อยู่ๆ ร่างบางก็เซหลุนๆ จากแรงกระแทกแบบไม่รู้ตัว ดีที่เธอจับเก้าอี้ตัวหนึ่งไว้ได้ ไม่งั้นมีหวังหน้าคะมำลงอย่างไม่เป็นท่า
“ขอโทษ”
สรัญรัตน์เงยหน้ามองคนชน เพราะคำขอโทษของเขามันฟังห้วนเหลือเกิน แต่เธอเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างในชุดสูทสากลเต็มยศ และเห็นรูปร่างสูงเกิน 6 ฟุต ของเขาเท่านั้น
“คนอะไร มีมารยาทแค่ครึ่ง ได้มาเท่านี้หรือไงนะ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เธอมองผู้ชายคนนั้นจนกระทั่งเขากลับไปนั่งยังโต๊ะอาหารของตัวเอง เขาไม่ได้มาคนเดียวแต่กลับนั่งทานอาหารคนเดียว โดยมีผู้ชายหลายคนยืนกุมมืออยู่หน้าขาเหมือนพวกบอดี้การ์ดยังไงยังงั้น
“ท่าทางจะรวยและใหญ่คับฟ้า มิน่าล่ะ มารยาทถึงมีนิดเดียว แต่ก็ดีนะที่ยังอุตส่าห์ขอโทษ”
เธอพยายามมองหน้าผู้ชายคนนั้น แต่อาจจะไกลไปนิดจึงเห็นไม่ชัดเท่าที่ควร ที่แน่ๆ เธอรับรู้ได้ถึงเสน่ห์บาดจิตที่แผ่ซ่านออกมาไกลถึงเธอได้ดี
“ดูไกลๆ อย่างนี้ก็หล่อพอตัวอยู่ น่าเสียดาย อยากเห็นหน้าให้ชัดกว่านี้” พึมพำกับตัวเองยิ้มๆ แต่ไม่คิดจริงจังมาก ก่อนจะเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล
“คุณชายครับ คนของเราส่งข่าวมาบอกว่า คุณหนูและนายธัชชัยไม่ได้อยู่ที่บ้านอัคราบริรักษ์ครับ”
หยางโจวหมิงยกแก้วขึ้นจิบน้ำ แล้วพยักหน้าเพียงเล็กน้อย
“ฉันรู้แล้ว เพราะมันต้องคิดว่าฉันจะบุกไปบ้านมัน ก็เลยพาเหม่ยลี่หนีไปที่อื่น”
“แล้วคุณชายทำไมถึงยังมาที่นี่ล่ะครับ”
“หึ...เราไม่ต้องออกแรงตามหาเหม่ยลี่หรอก แค่ให้ใครบางคนพาตัวเธอมาส่งก็พอ”
“ใครครับ” ฉีอู่ตามความฉลาดเป็นกรดของหยางโจวหมิงไม่ทัน
“ก็พวกมันไง ในเมื่อมันพาเหม่ยลี่ไปได้ มันก็ต้องพาเหม่ยลี่กลับมาได้” ว่าแล้วก็ลุกขึ้น วางเงินค่าอาหารมากกว่าจำนวนจริง แล้วเดินนำออกไป ไม่แยแสกับสายตาหลายคู่ที่มองตามอย่างสนใจ
ใครจะไม่สนใจบ้างล่ะ ในเมื่อมีชายหนุ่มรูปงาม บุคลิกน่าเกรงขาม พร้อมกับบอดี้การ์ดหลายคนเดินตามเป็นขบวน ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นหนึ่งในผู้มีอันจะกิน และเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง
เช้าวันต่อมา นายอรรถวัฒน์ได้ต้อนรับคุณชายหยางอย่างไม่คาดคิด ชายหนุ่มคราวลูกไม่ได้ทำความเคารพผู้สูงวัยกว่า หากแต่เดินหน้าตึงเข้ามาในห้องทำงานใหญ่ของประธานบริษัท อัครา (กรุ๊ป) จำกัด
“หยะ...หยางโจวหมิง!” นายอรรถวัฒน์เอง แม้จะเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ก็ยังเชิดหน้าลุกขึ้นยืนต้อนรับหลานชายที่กลายเป็นศัตรูหมายเลข 1
“แหม...ควรจะดีใจมั้ย ที่คุณยังจำผมได้” นั่นเป็นคำทักทายของพญามังกรดำ หากแต่ใบหน้าฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันและเย่อหยิ่งจองหอง
“หน้าตาเธอ ถอดแบบหยางเฟ่ยหลงมาไม่มีผิดเพี้ยน ทำไมฉันจะจำไม่ได้”
“งั้นรึ แล้วคุณจำหยางเหม่ยลี่ได้มั้ย หรือจะบอกว่าไม่รู้ว่าใครเป็นหยางเหม่ยลี่ เพราะตอนที่พ่อกับแม่ผมตาย เหม่ยลี่ยังเป็นทารกอยู่เลย หึ หึ...แต่ผมจะบอกอะไรให้นะ เหม่ยลี่กับผมมีหน้าตาถอดแบบพ่อมาเหมือนกัน”
“หมายความว่ายังไง เธอมาที่นี่ต้องการอะไร”
“ปัง!!!” มือหนาตบโต๊ะใหญ่เต็มแรง “อย่าไขสือ ทำเป็นไม่รู้เรื่องหน่อยเลย” หยางโจวหมิงตาลุกวาว ความโกรธที่เกิดจากผู้ชายตรงหน้า ซึ่งทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำให้เขาอยากเข้าไปบีบคอให้ตายคามือนัก
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ถ้าเธอไม่บอกว่ามีจุดประสงค์อะไรถึงมาที่นี่ล่ะก็ ฉันจะเรียกตำรวจ”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ก็เอาสิ ถ้าคิดว่าตำรวจจะเอาผิดกับผม แทนพวกอัคราบริรักษ์แล้วล่ะก็ เอาเล้ย เรียกตำรวจมาทั้งโรงพักเลยก็ได้”
นายอรรถวัฒน์ตัวสั่นเทิ้มกับความอาจหาญของหนุ่มคราวลูก เขารู้ดีว่าการต่อกรกับคนตระกูลหยางไม่ทำให้เกิดประโยชน์ มีแต่เสียกับเสีย แต่ถ้ายังถูกกล่าวหาอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ เขาก็ยอมไม่ได้เช่นกัน
“ฉันจะถามเธออีกครั้ง เธอมาที่นี่ทำไม”
“เหม่ยลี่ถูกไอ้ธัชชัยหลอกพามาที่นี่ คุณจะต้องส่งเธอคืนให้ผม”
“อะไรนะ!! ธัชชัยพาหยางเหม่ยลี่หนีมางั้นเหรอ”
“มันล่อลวงเหม่ยลี่มาต่างหาก พวกอัคราบริรักษ์มีแต่คนชั่วๆ อย่ามาพูดว่าเหม่ยลี่หนีมากับมัน!”
ประมุขของอัคราบริรักษ์พยายามรักษาระดับความขุ่นข้องหมองใจ และมองหยางโจวหมิงนิ่งๆ อย่างประเมินท่าที ผู้ชายตรงหน้าเป็นคนอารมณ์ร้อนและเอาแต่ใจตัวเองเหลือร้าย แต่ที่น่ากลัวคือความดำมืดที่ซ่อนอยู่ มาเฟียตระกูลหยางทำได้ทุกอย่าง และหยางโจวหมิงผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพญามังกรดำ จะต้องร้ายกาจกว่าหลายเท่าหากได้ลงมือทำอะไรแล้ว
“ขอฉันเค้นความจริงกับเจ้าธัชก่อนได้มั้ย”
“ตามตัวมันมาคุยกับผมเลยดีกว่า ท่าทางของคุณ...” ดวงตาสีสนิมเหล็กกวาดมองร่างหนาสูงวัยของนายอรรถวัฒน์ แล้วแค่นยิ้มเยาะเย้ยออกมา “ใจอ่อน ลูกคงไม่กลัวหรอกมั้ง”
“ยังไงก็ขอให้ฉันได้คุยกับเจ้าธัชมันก่อน ถ้ามันทำจริง ฉันจะให้มันพาหยางเหม่ยลี่มาคืนเธอ”
“เดี๋ยวนี้!!!” หยางโจวหมิงต่อให้อย่างคนใจร้อน แค่ได้เสวนากับนายอรรถวัฒน์ เขายังไม่อยากทำ แล้วจะให้ต้องมานั่งรอไอ้คนชั่วนั่นอีก มันมากเกินไปที่คนอย่างเขาจะยอมได้
นายอรรถวัฒน์กดโทรศัพท์หาลูกชายคนโต เป็นนานกว่าที่ธัชชัยจะรับสาย
“ครับพ่อ”
“ไอ้ธัช แกพาหยางเหม่ยลี่มางั้นเหรอ” คนเป็นพ่อไม่คิดจะอ้อมค้อม หากลูกชายทำผิดจริง เขาก็อยากให้มันแก้ไขให้จบๆ ไม่อยากทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ แค่อดีตที่ต้องเจ็บปวดมามากแล้ว ปัจจุบันควรจะทำให้ทุกอย่างถูกต้องเสียที
“พ่อรู้ได้ไง หรือว่า...หยางโจวหมิงไปหาพ่อ”
“ใช่ ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าพ่อที่บริษัท แกเอาน้องเขาไปก็ส่งคืนให้เขาเถอะ ในเมื่อเขามาตามถึงที่นี่แล้ว”
“เหม่ยลี่ไม่กลับ ผมไม่ได้บังคับเธอ เธอเต็มใจมากับผมเอง พ่อบอกมันไปสิครับ”
นายอรรถวัฒน์เหลือบตาขึ้นมองร่างสูง ก่อนหันหลังให้เพราะไม่อยากสบตาสีสนิทแดงโรจน์นั้น
“ถ้ารักกัน ทำไมไม่ทำให้ถูกต้อง”
“แล้วมันยอมให้เราคบกันมั้ยล่ะพ่อ มันกับเราเป็นศัตรูกัน”
“แต่แกก็หนีบน้องเขากลับมาไทย ทั้งที่ปากก็บอกว่าเป็นศัตรูกับเขา ไอ้ธัช แกทำแบบนี้เท่ากับเอาศักดิ์ศรีของอัคราบริรักษ์มาเหยียบย่ำเหมือนกับที่แกกำลังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตระกูลหยาง การที่ถูกเขาตราหน้ามาตลอดว่าเป็นคนเลว มันยังไม่เลวร้ายมากพอรึไง”
“เราไม่ใช่คนเลว พ่อจะยอมให้พวกมันตราหน้าอยู่ได้ยังไง บอกมันไปว่าผมไม่มีวันส่งเหม่ยลี่คืน ถ้ามันอยากได้นัก ก็รอจนกว่าผมจะไร้ลมหายใจซะก่อนเถอะ” แล้วธัชชัยก็ตัดสายเสียดื้อๆ นายอรรถวัฒน์พยายามติดต่อกลับไป แต่เขาปิดเครื่องหนีเสียเลย
ชายชราทอดถอนใจอย่างหนักอก คงไม่มีวันที่อัคราบริรักษ์จะเป็นคนดีได้ในสายตาของคนตระกูลหยาง ยิ่งธัชชัยทำแบบนี้ ชายชราก็ไม่มีทางปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น
“มันไม่คืนสินะ” หยางโจวหมิงเอ่ยขึ้น
“เอ่อ...เจ้าธัชมันขอเวลาสักระยะ ไม่สิ น้องสาวของเธอต่างหาก”
“หึ...นึกแล้ว บอกที่อยู่ของมันมา ผมจะไปนำตัวเหม่ยลี่กลับเอง แล้วจะเด็ดหัวไอ้ธัชชัยทิ้งเป็นของขวัญให้คุณ” น้ำเสียงที่ทั้งเย็นยะเยือกและโหดเหี้ยมจนคนฟังถึงกับขนลุก
“ขอโทษนะ แต่ฉันคงบอกเธอไม่ได้ เพราะฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าธัชมันอยู่ไหน”
พญามังกรดำสาวเท้าเข้าไปใกล้ร่างหนา มุมปากได้รูปกระตุกยึกๆ จนนายอรรถวัฒน์ต้องกลืนน้ำลาย
“ได้ ถ้าคุณต้องการอย่างนี้ ก็อย่าหาว่าผมไม่เตือนแล้วกัน”
พูดจบ พญามังกรดำก็ปัดกรอบรูปบนโต๊ะทำงานของนายอรรถวัฒน์ลงพื้น “เพล้ง!!” เสียงกระจกแตกทำให้คนของนายอรรถวัฒน์ก้าวเข้ามา ทุกคนแตะมือเข้ากับด้ามปืนเตรียมพร้อม
“สั่งลูกน้องของคุณเตรียมรับมือครั้งใหญ่ดีกว่า ถ้าไอ้เลวนั่นไม่คืนเหม่ยลี่ให้ผม เราได้เห็นดีกันแน่นอน”
แล้วหยางโจวหมิงก็เดินฝ่าคนของนายอรรถวัฒน์ออกไปด้วยท่าทีองอาจสมกับสมญานาม ‘พญามังกรดำ’ นายอรรถวัฒน์สั่งให้ทุกคนเก็บปืนแล้วแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ หลังจากลับร่างสูงแล้ว ร่างหนาของอดีตเสือเฒ่าก็ทรุดลงเก็บกรอบรูปที่แตกเป็นเสี่ยงๆ มองรูปที่ยังค้างอยู่ในเศษกรอบนั้นนิ่ง มันเป็นรูปที่เขาถ่ายกับสรัญรัตน์ในวันรับปริญญา ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่า เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับสรัญรัตน์ หากเขาไม่ทำให้มันจบแต่โดยดี
2 วันต่อมา ประธานบริษัท อัครา (กรุ๊ป) จำกัด ต้องยกมือขึ้นกุมขมับ เมื่อเลขาแจ้งข่าวร้ายว่าลูกค้ารายใหญ่ยกเลิกออเดอร์ส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งหมด
“ถามใครก็ได้ที่คุณสนิท ว่าส่งออเดอร์ให้ใครแทน”
นายอรรถวัฒน์บอกเลขามากประสิทธิภาพให้สอดแนมอดีตลูกค้าจากคนที่เธอเคยติดต่อ ว่าส่งออเดอร์ให้ใครแทนอัครา (กรุ๊ป) เลขาทรงประสิทธิภาพรีบทำตามคำสั่ง ไม่นานนักก็ได้เรื่อง
“นึกแล้วเชียว ว่าหยางโจวหมิงต้องเล่นเราแบบนี้”
“ท่านประธานจะทำยังไงต่อไปคะ”
“คุณไปทำงานต่อเถอะ เรื่องนี้ผมจัดการเอง”
ตัดบทแล้วก็กดโทรศัพท์ติดต่อธัชชัย
“มันยังไม่เลิกวอแวอีกเหรอครับพ่อ” เสียงบุตรชายขุ่นมัวมากจนรู้สึกได้
“ยังหรอก ตราบใดที่แกไม่คืนน้องสาวให้เขา”
“ผมบอกแล้วไง ว่าเหม่ยลี่ยินดีมากับผมเอง ผมไม่ได้บีบบังคับเธอมานะครับ”
“แกจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อสร้างมากับมือนะเจ้าธัช ตอนนี้หยางโจวหมิงดึงลูกค้ารายใหญ่ไปจากเราหมดแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป มีหวังเราได้พังกันเป็นแถบๆ”
น้ำเสียงทุกข์ร้อนของบิดาไม่ได้ทำให้ธัชชัยรู้สึกเป็นกังวลตามไปด้วย เขายังมองเห็นทางที่จะเอาชนะหยางโจวหมิง หนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสำหรับเขา แต่สำหรับคนอื่นมันถูกโรยด้วยหนามแหลมคม
“พ่อครับ” สุดท้ายที่ยังไม่ท้ายสุด ธัชชัยก็ทำเสียงอ่อนอ้อนคนเป็นพ่อ “ช่วยผมสักครั้งนะครับ ผมรักเหม่ยลี่และไม่อยากเสียเธอไป ถ้าพ่อไม่เชื่อจะถามเธอเองก็ได้นะครับ ว่าเธอรักผมหรือเปล่า”
“คุณพ่อคะ หนูคือหยางเหม่ยลี่ คุณพ่อได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะนะคะ หนูกับคุณธัชรักกันจริงๆ ได้โปรดช่วยให้หนูได้อยู่กับคุณธัชด้วยนะคะ”
เสียงหวานแปร่งปร่าอย่างคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่พูดภาษาไทยไม่ชัด ทำให้นายอรรถวัฒน์ต้องฉุกคิด ถ้าเป็นอย่างนี้ผู้ใหญ่อย่างเขาคงต้องเป็นฝ่ายออกโรง สู่ขอหยางเหม่ยลี่กับพี่ชายของเธอ แต่ทว่า...มันยากเหลือเกินที่พญามังกรดำจะยินยอมง่ายๆ
“คุณพ่อได้ยินแล้วใช่ไหมครับ ถ้าคุณพ่อไม่ช่วยพวกเรา พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครได้อีก ไอ้จะให้ผมทำให้ถูกต้องก็อยาก แต่คุณพ่อก็น่าจะรู้ว่าคนอย่างหยางโจวหมิงไม่มีทางยอมง่ายๆ แน่”
“เอาล่ะ ตกลงพ่อจะช่วยแก พ่อจะออกหน้าแทนแก ลองคุยกับหยางโจวหมิงให้ แต่ถ้าเขาไม่ยอมล่ะ”
“ผมคิดว่าคุณพ่อคงต้องมีแผนสอง ถ้าคุณพ่อต้องการจะเอาลูกค้าของเรากลับคืนมา”
“แกหมายความว่ายังไง”
“ก็ถ้ามันไม่ยอม อัคราบริรักษ์คงต้องสู้กับมันสักตั้ง เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของเราที่พวกตระกูลหยางดูหมิ่นมานานหลายสิบปี แต่ถ้าคุณพ่อไม่กล้า ก็คงต้องเปลี่ยนแผน”
“เออ...ไหนแกลองบอกแผนสามที่แกคิดไว้มาซิ”
“ส่งคนอื่นกลับไปให้หยางโจวหมิง”
“อะไรนะ!!! นี่แกจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับเพิ่มความอาฆาตให้หยางโจวหมิง”
“คุณพ่อก็ส่งคนที่คิดว่าจะทำให้หยางโจวหมิงใจอ่อนได้สิครับ”
“เจ้าธัช พ่อยังไม่เห็นใครคนที่แกพูดถึง หยางโจวหมิงเป็นมาเฟียจอมร้ายกาจ เขาทำได้ทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี แล้วใครกันที่จะทำให้คนอย่างนั้นใจอ่อนได้” ชายสูงวัยอยากยกมือกุมขมับ ปวดหัวกับแผนการของลูกชายตัวดี
“คุณพ่อมีดอกไม้งามอยู่ที่บ้าน ลืมไปแล้วหรือครับ”
“แกหมายถึง...”
“ยัยตันหยงไงครับ ผมคิดว่าเธอจะช่วยเราได้แน่นอน”
“ไม่!!! พ่อไม่ยอมให้ตันหยงเป็นตัวแลกเปลี่ยนกับหยางเหม่ยลี่เด็ดขาด!!!”
นายอรรถวัฒน์กระแทกหูโทรศัพท์ใส่บุตรชายดัง “โครม” ขุ่นเคืองใจที่ลูกชายตัวดี เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายในตอนนี้ หนำซ้ำยังมีหน้ามาบอกให้เปลี่ยนตัวยอดดวงใจพ่อกับหยางเหม่ยลี่เสียอีก น่าเจ็บใจนัก เขาไม่มาทางจะทำอย่างนั้นแน่ สรัญรัตน์บริสุทธิ์และแสนดีเกินกว่าจะเป็นหมากแลกเปลี่ยนในเกมนี้
“ตันหยงลูกพ่อ พ่อจะไม่ยอมส่งลูกสาวของพ่อลงนรกเด็ดขาด”
มนธชัยมองสรัญรัตน์ด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ไม่ว่าวันไหน สาวน้อยก็ยังคงความสวยไม่สร่าง ซ้ำยังเพิ่มดีกรีความงามขึ้นทุกวัน ถ้ามีแมวมองคิดส่งเธอเข้าประกวดนางงามบนเวทีระดับประเทศ สรัญรัตน์ต้องคว้ามงกุฏมาครอบครองได้แน่ๆ
“มองฉันนานๆ แบบนี้ เดี๋ยวคิดค่ามองนะคะ”
นับแต่วันที่ได้ไปดินเนอร์ด้วยกัน ดูเหมือนว่าเธอจะเข้ากับเขาได้สนิทใจมากขึ้น มนธชัยไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นที่เธอได้เจอก็ตรงที่เขามีอารมณ์ขัน และทำให้เธอหัวเราะได้อยู่บ่อยๆ สรัญรัตน์ยอมรับว่าเขาทำให้เธอลืมเรื่องกวนใจไปได้มากเลยทีเดียว
“หมดตัวผมก็ให้ได้ ถ้าคุณต้องการ”
“คุณมนคะ คุณมนเรียนจบอะไรคะ” หญิงสาวชวนคุย
“ผมจบเนติบัณฑิตครับ และสอบเป็นทนายความได้แล้ว”
“อ้าว...ฉันไม่รู้เลยนะคะเนี่ย ว่ากำลังนั่งคุยอยู่กับทนายความ เก่งจังนะคะ” สรัญรัตน์เอ่ยชื่นชมชายหนุ่มอย่างจริงใจ เธอกำลังนึกยกย่องเขาที่สามารถทำตามที่ใจรักได้สำเร็จ ผิดกับเธอ เรียนพยาบาลแต่จะต้องไปช่วยงานบิดาในบริษัท เธอถึงได้เกี่ยงงอนขอเวลาอีกสักระยะ ก่อนจะเข้าไปศึกษาในสิ่งที่เธอรู้มาแบบงูๆ ปลาๆ
“ที่จริงผมอยากเป็นอัยการสูงสุด แต่ผมต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ครบตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด จึงจะสามารถสอบอัยการได้”
“แค่เป็นทนายความก็เก่งแล้วล่ะค่ะ ยังไงซะ ฉันจะเป็นกำลังใจให้คุณมนก็แล้วกันนะคะ”
มนธชัยอมยิ้ม เอื้อมมือออกไปกุมมือนุ่มอย่างถือวิสาสะ สรัญรัตน์เงยหน้าขึ้นสบตาปล่อยมือจากงานที่ทำอยู่ เธอดึงมือออกอย่างนุ่มนวลพยายามส่งยิ้มบางๆ ให้ชายหนุ่ม แม้เธอจะไม่ค่อยพอใจนักที่เขาถือวิสาสะมาจับมือถือแขนทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน
“ถ้าได้กำลังใจจากคุณตันหยงแบบนี้ ผมต้องทำความฝันให้เป็นจริงได้แน่ คุณตันหยงครับ”
“คะ” สรัญรัตน์ขานรับเสียงเบา
“แต่งงานกับผมนะครับ” มนธชัยยิ้มบางๆ รอคอยคำตอบจากสาวสวยอย่างใจจดใจจ่อ
“เอ่อ...เราไม่ได้รักกัน คงแต่งงานด้วยกันไม่ได้หรอกค่ะ” สรัญรัตน์ลุกขึ้นถอยหลังหนีไปหลายก้าว ก่อนจะหมุนตัวเสมองไปทางอื่น ปิดบังความอึดอัดที่อาจปรากฏในดวงตากลม
“ผมรักคุณตันหยง” มนธชัยโพล่งขึ้น “จริงๆ นะครับ มันอาจจะเร็วไปสักนิด แต่ผมจะบอกว่า ผมเฝ้ามองคุณตันหยงมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสจะได้แสดงความรู้สึกให้คุณรู้”
“ขอบคุณนะคะ สำหรับความกรุณาที่คุณมนมีให้ แต่ฉัน...”
“ถ้าคุณลำบากใจที่จะตอบในตอนนี้ ก็ยังไม่ต้องตอบผมก็ได้ ผมจะรอ รอจนกว่าคุณจะรับรักผม และแน่ใจว่าผมรักคุณและจริงใจกับคุณจริงๆ”
มนธชัยมีสีหน้าสลดลงเพียงเล็กน้อย แน่ใจว่าที่พูดออกไปนั้นเป็นความจริงหมดทุกคำ ผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนเดียวที่ทำให้เขาแน่ใจกับความรู้สึกที่เป็นอยู่ในเวลานี้ น่าเสียดายที่เขาเจอเธอช้าไป หากได้พบกันเร็วกว่านี้ บางทีเธออาจใช้เวลาคิดเพียงไม่นาน
สรัญรัตน์ทอดถอนใจแล้วหมุนตัวมองคนหน้าละห้อยก็นึกสงสาร เธอเองก็ไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีในยามที่ได้คุยกับเขา แต่ความรักนั้นมันอยู่ไกลออกไปมาก และเธอยังไม่คิดจะมอบหัวใจให้ใครในตอนนี้
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจฉัน ตอนนี้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไปก่อนนะคะ”
ชายหนุ่มยิ้มได้ เขาพยักหน้าเป็นคำตอบท่าทางเอียงอายเมื่อรู้ระดับความสำคัญที่แน่นอนของตนในตอนนี้
“ตกลงครับ”
นายอรรถวัฒน์รีบร้อนเดินเข้ามาเพื่อเตรียมตัวเก็บกระเป๋าบินไปฮ่องกง เขาเห็นสรัญรัตน์และมนธชัยที่สนามหญ้าหน้าบ้านก็เดินเข้าไปสมทบ
“เป็นไงลูก กำลังทำอะไรอยู่”
“คุณพ่อ” บุตรสาวกอดพ่อเป็นการทักทาย “ตันหยงกำลังตัดแต่งกิ่งไม้ค่ะ แล้วนี่ทำไมวันนี้คุณพ่อกลับบ้านเร็วจังล่ะคะ”
“พ่อมีเรื่องต้องไปจัดการที่ฮ่องกงด่วน ดีที่ได้เจอลูก พ่อคงไปหลายวันกว่าจะกลับ ตันหยงต้องดูแลตัวเองดีๆ นะลูก” คนเป็นพ่อสั่งเสียบุตรสาวด้วยใจที่โหยหาและเป็นห่วง แต่ความกังวลในตอนนี้ก็ยังไม่มากเท่ากับความกังวลที่จะเกิดในอนาคต
“ท่าทางคุณพ่อดูเครียดๆ นะคะ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” สีหน้าของพ่อทำให้เธอเริ่มไม่สบายใจ เธอเห็นท่าทีกังวลและอึดอัดของพ่อชัดเจน
“ไม่ ไม่มีหรอกลูก” แล้วร่างหนาของพ่อก็กอดร่างบางของลูกสาวแน่น “พ่อรักหนูนะตันหยง”
สรัญรัตน์ยิ้มแก้มปริ เขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มบิดาฟอดใหญ่
“ตันหยงก็รักคุณพ่อค่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
ลับร่างสูงหนาของบิดา มนธชัยก็ขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วพึมพำในสิ่งที่เห็น ตามประสาของคนช่างสังเกต
“ท่าทางคุณพ่อคุณคงมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องทำ ท่านถึงได้รีบร้อนขนาดนี้”
“ท่านคงมีเรื่องสำคัญมากจริงๆ อย่างที่คุณว่า เอ่อ...มาค่ะ ฉันทำบัวลอยไข่หวานเอาไว้ จะเลี้ยงคุณตอบแทนที่แวะมาช่วยตัดกิ่ง”
หญิงสาวเบี่ยงเบนความสนใจของมนธชัยด้วยการชักชวนให้เขาทานขนมหวานจากฝีมือของเธอ หากแต่ใจของสรัญรัตน์กลับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องสำคัญที่พ่อต้องบินไปจัดการด่วน มันคือเรื่องอะไร และทำไมมันสำคัญถึงขนาดที่พ่อต้องรีบร้อนขนาดนี้
ไม่กี่อึดใจต่อมา บัวลอยไข่หวานร้อนๆ สีสันน่าทานก็วางอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม
“คุณทำเองหรือครับ”
“ใช่ค่ะ ฉันชอบทำอะไรทานเองเสมอ”
“การทำอาหารคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณชอบ รองจากการเป็นพยาบาล แต่ผมแปลกใจว่าทำไมคุณพ่อคุณถึงต้องให้คุณไปช่วยงานที่บริษัท ทั้งที่ก็มีคุณธัชชัยคอยช่วยบริหารอยู่แล้ว อีกอย่าง คุณก็...เอ่อ...ไม่ได้เรียนบริหารมา”
“คุณพ่อท่านอยากให้ฉันเรียนรู้ด้วยประสบการณ์น่ะค่ะ ท่านบอกว่า ถึงฉันจะไม่ได้เรียนบริหาร แต่ถ้าฉันตั้งใจที่จะศึกษางานที่ทำ แค่ใช้ความตั้งใจผสมผสานกับความเข้าใจ ท่านเชื่อว่าฉันต้องทำได้”
นายอรรถวัฒน์มั่นใจเพราะผลการเรียนของสรัญรัตน์เป็นเอทุกวิชา ตั้งใจเรียนมัธยมทั้งวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา และวิชาอื่นๆ ที่ปรากฏเป็นตำราเรียน เขาเชื่อว่าหากบุตรสาวเรียนวิชาบริหารก็คงได้เกรดดีที่สุดเท่ากับการเรียนวิชาพยาบาลศาสตร์
“ผมก็ว่าคุณต้องทำได้ นอกจากคุณจะเป็นนางพยาบาลที่ดีได้แล้ว คุณจะต้องเป็นนักบริหารที่เก่งที่สุดได้แน่”
“ขอบคุณค่ะ” สรัญรัตน์ระบายยิ้มเต็มใบหน้า มองชายหนุ่มตักขนมหวานเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วตักขนมหวานใส่ปากตัวเองบ้าง
“อร่อยมากครับ”
