ศพลอยน้ำ 1
ศพลอยน้ำ
เวลาไม่เช้าแล้ว นับตั้งแต่เมิ่งจื่อฟื้นคืนเดินลงเขา ก็ผ่านมากว่าครึ่งชั่วยาม แสงตะวันทำให้นางเห็นได้ชัด ชายผู้นั้นกำลังนอนหงายท้อง ไหลมาตามกระแสน้ำ หากปล่อยให้เลยไปก็จะไม่พบเจอบ้านคนแล้ว
เมิ่งจื่ออย่างไรเข้าป่าล่าสัตว์แต่เล็ก นางพบเห็นซากเน่าเปื่อยบ่อยครั้ง บางทีเก้งกวางติดกับดักตายหลายวัน เป็นนางเองที่ถูกบิดาใช้สอยให้ไปปลดออก
เจ้าศพนั่นลอยมาเรื่อยๆเรื่อยๆเรื่อยๆ!
สาวน้อยมิได้ขวัญอ่อน หลังจากเลิกคิดสั้น เมิ่งจื่อกับรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าเวทนายิ่งหากปล่อยให้ถูกกระแสน้ำพัดไป มิทราบจะไหลไปถึงไหน เห็นดังนั้นนางจึงไม่รอช้า แก้สายรัดเอวถอดเสื้อตัวนอก เหลือเพียงกางเกงตัวในและเอี๊ยม กระโดดลงไปในน้ำ แหวกว่ายเพื่อลากตัวชายขึ้นอืดผู้นั้น นำเข้าฝั่งแล้วค่อยเรียกบิดาออกมาชมดู
เมิ่งจื่อเชี่ยวชาญวิชาทางน้ำมาก หกขวบนางก็ดำผุดดำว่ายได้แล้ว ไม่นานก็ตีน้ำป๋อมแป๋มในท่าสุนัข คว้าเอาคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยมือข้างหนึ่ง ลากเข้าฝั่งได้อย่างยากลำบาก
“แฮก แฮก แฮก” เมิ่งจื่อหงายท้องบนพื้นทราย นางหอบหายใจหนักหน่วง คิดไม่ถึงว่าการลากศพขึ้นจากน้ำ จะกินแรงไม่น้อยเช่นนี้
ขณะเมิ่งจื่อจะลุกขึ้นยืน ความจริงกลิ่นปัสสาวะของนางถูกน้ำชำระล้างไปหมดแล้ว หากแต่ว่านางต้องตกใจจนฉี่ราดอีกครั้ง เมื่อศพที่อยู่ข้างๆคว้าข้อเท้านางไว้ บีบแน่นไม่ปล่อยจนนางเจ็บปวด เมิ่งจื่อตกใจสุดขีดกระโดดเต้นเร้าๆ ร่ำร้องว่า ข้ากลัวแล้วเจ้าคะ! กลัวแล้ว! จากนั้นหลั่งน้ำตานองหน้าร้องไห้โฮออกมา “…”
ห่างไปไม่ไกลเป็นพ่อลูกตระกูลเมิ่ง เมิ่งไท่อี้พบว่าบุตรสาวไม่อยู่ในห้องก็ออกตามหา เขาร้อนใจมากกลัวนางคิดสั้น เลยแยกย้ายกับภรรยา เดินหาตามริมแม่น้ำทั้งตอนบนและล่าง สุดท้ายได้ยินเสียงกรีดร้องของบุตรสาว จึงรีบวิ่งมาอย่างไม่คิดชีวิต กลัวว่านางจะเป็นอะไรไป
“ฮือ! ฮือ! ฮือ! กลัวแล้วเจ้าคะ! กลัวแล้ว!”
ในชีวิตเมิ่งจื่อไม่กลัวอะไรทั้งนั้น งูเงี้ยวเขี้ยวขอสัตว์มีพิษนางหากลัวไม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางไม่อาจรับได้นั่นคือผี เพราะนางกลัวผีที่สุดเลย!
“พี่สาวข้ามาช่วยแล้ว”!!!
จื่ออีเป็นคนแรกที่วิ่งมาถึง หากแต่พอเห็นภาพตรงหน้าถึงกับต้องถอยหลังผงะ พี่สาวของเขาไฉนอยู่ในสภาพเช่นนี้ เสื้อผ้านางหลุดลุ่ย อิงเถาสีชมพูน้อยๆกระเด็นกระดอนออกจากเอี๊ยม เพราะนางเต้นโหยงโหยงสะบัดขา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยคราบน้ำมูกน้ำตา
“ไอ้บัดซบ! เจ้ากล้าข่มเหงพี่สาวข้า”!!!
ในวัยสิบสาม จื่ออีไฟโทสะตีขึ้นหน้า เขารีบวิ่งไปนั่งทับอกชายหนุ่มที่นอนสลบอยู่บนพื้น รัวกำปั้นน้อยๆใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี “…”
“ซิก! ซิก!” ในอ้อมกอดมารดา เมิ่งจื่อสะอึกสะอื้น นางยังขวัญเสียไม่หาย เมื่อครู่ตกใจแทบตายแล้ว
บนผืนทรายยามนี้ ประกอบไปด้วยสองเด็กสามผู้ใหญ่ จื่ออีอับอายมิใช่น้อยที่เข้าใจผิด เขาต่อยพี่ชายแปลกหน้าจนฟื้นคืนสติ เมิ่งจื่อเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเขายังไม่ตาย อธิบายครู่ใหญ่กว่าคนทั้งหมดจะเข้าใจกัน
“แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ดูสภาพเจ้าตอนนี้ยังจะพบหน้าผู้ใดได้อีก” เมิ่งไท่อี้โมโหมาก บุตรสาวของเขาราวกับผ่านการขืนใจมาหนึ่งรอบ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย น้ำหูน้ำตาไหลย้อย เอี๊ยมเล็กๆก็เปิดเผยออกจนเห็นปทุมถันน้อยๆ ถึงนางจะบอกว่าเป็นการช่วยคนจมน้ำ แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ ยังคงคิดว่าบุตรีกำลังถูกข่มขืน!
“ไปที่อำเภอ! ไปที่ว่าการอำเภอ!”
“ฮือ! ฮือ! ข้าก็บอกแล้วไงว่าเข้าใจผิด หากท่านพ่อไม่เชื่อข้าจะโดดน้ำตาย!” เมิ่งจื่อเพิ่งจะหายคิดสั้นก็อยากตายอีกครั้ง นางเห็นท่านพ่อมีท่าทีขึงขังจะเอาเรื่องก็ปวดหัวยิ่ง ชายแปลกหน้าก็ไม่มีท่าทีพูดจาเอาตัวรอดแม้แต่น้อย ยังคงนั่งมึนงงโง่ทึ่ม ถามอะไรก็ตอบแต่ว่า ไม่รู้ ไม่รู้
“…”
ครึ่งชั่วยามต่อมา ภายใต้การอธิบายจนปากเปียกปากแฉะของเมิ่งจื่อ คนทั้งหมดค่อยเดินกลับบ้าน เซียวเฟิงที่งงงวยก็เดินตามต้อยๆ ตามคำสั่งท่านผู้อาวุโสเบื้องหน้า บอกว่าให้กลับไปคุยกันที่เรือนตนเอง
เริ่มเข้าเขตหมู่บ้าน สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยกระท่อมไม้ปลูกติดกัน ล้อมรอบไว้ด้วยรั้วไม้ไผ่ เมื่อไปถึงที่หมาย จื่ออีก็เป็นผู้เปิดไม้กั้นออก นำคนทั้งหมดเข้าเรือน
นางเมิ่งซือไล่คนทั้งหมดไปชำระกาย เมิ่งจื่อใช้น้องชายไปหาบน้ำใส่ถังมาให้ ส่วนเมิ่งไท่อี้บอกชายหนุ่มแปลกหน้าให้ตามมา นำไปยังส่วนหลังของเรือน อาบน้ำที่อยู่ในโอ่ง แล้วจัดหาเสื้อผ้าสะอาดให้ เตรียมตัวรับประทานอาหารเช้า
จะอย่างไรครอบครัวเมิ่งสัตย์ซื่อถือมั่น บุตรสาวยืนยันเสียงแข็งว่าเข้าใจผิดก็คือเข้าใจผิด แต่เมิ่งผู้พ่อยังคงมองชายหนุ่มด้วยสายตาอาฆาต คิดคาดคั้นเอาผิดเจ้าบัดซบผู้นี้ให้ได้
เซียวเฟิงยังคงงุนงง ขณะเปลือยอกอาบน้ำก็มองซ้ายมองขวา ข้องใจว่าไฉนตนเองอยู่ที่นี่ แล้วก่อนหน้านี้ตนเป็นไรไป ทำไมรู้สึกเจ็บปวดตามใบหน้า
“…”
รั้วไม้ซ้ายมือกั้นระหว่างบ้านสกุลเมิ่งและหง
ขวามือกั้นซ่งและเมิ่งในจังหวะที่เซียวเฟิงอาบน้ำก็ได้ยินเสียงซุบซิบ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก ยังคงอาบน้ำชำระกายไปเรื่อย จนกระทั่งเมิ่งไท่อี้นำชุดมาให้ เขาก็อาบน้ำเสร็จพอดี
บนโต๊ะกินข้าว สุราถูกยกเป็นจอกที่สาม ทุกครั้งที่เมิ่งผู้พ่อจะออกปากเอาเรื่อง นางเมิ่งซือที่นั่งอยู่ข้างๆต้องใช้สายตาจิกกัดไว้ สุดท้ายจนกระทั่งรับประทานเสร็จเมิ่งไท่อี้ก็ยังมิได้พูดซักคำ
เมิ่งจื่อเองก็กินข้าวไม่รู้รส นางเขินอายมาก ปกตินางไม่เคยกินข้าวกับคนแปลกหน้ามาก่อน ทั้งคนตรงหน้ายังสวมใส่เสื้อผ้าบิดานาง นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จะให้นางรับรู้รสชาติอาหารบนโต๊ะได้ยังไง
