บทนำ สารฤดูปีนั้นด้ายแดงเริ่มถักทอ
"เขาไม่รูปงามหรือ" กู่ซิงอีถามสหายคนสนิท
"รูปงามยิ่งนัก!" เซี่ยลู่หลินกล่าวด้วยความจริงจัง
คราที่ฟังมิได้ทันได้คิด หากแต่ได้ยลอีกฝ่ายแล้ว คำพูดของสหายก็หวนมาอีกครา
'รูปงามยิ่งนัก!'
กลิ่นอายรอบกายสูงส่งดั่งหยก แววตาเฉยเมยไร้สิ่งใดที่สามารถสั่นคลอนคนผู้นี้ได้
ภาพตรงหน้า...สลักลึกฝังลงในใจ
........................
บทนำ
สารทฤดูในเมืองจางงดงามไม่แพ้เมืองใดในแคว้นเหว่ย ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูแล้ว ใบไม้เริ่มแปรเปลี่ยนหลากสี กิ่งไม้เริ่มไร้ใบจนเหมือนกระดูกเรียวเล็กแต่ก็ดูงดงามแปลกตาไปอีกแบบ อากาศเองก็ไม่ร้อนอบอ้าวเฉกเช่นเดิมอีกแล้ว
ดังนั้นวันนี้กู่ซิงอีจึงคึกคักเป็นพิเศษ หมักสุราหามรุ่งหามค่ำ มือหนึ่งทำงานมือหนึ่งยกสุราเข้าปากด้วยความอารมณ์ดี
กลิ่นหอมของสุรากำจายทั่วปากทำให้มีแรงทำงานมากกว่าเดิม ยามเมื่อหมักสุราเสร็จสิ้นจนถึงขั้นตอนปิดผนึกแล้วเขากลับไม่ได้นำไหสุราไปเก็บในที่ซึ่งควรเก็บตั้งแต่แรก แต่กลับยกมานั่งอาบแสงจันทร์ที่ลานหน้าบ้านแทน
จันทร์สกาวเต็มดวงเริ่มเอียงไปมากกว่าครึ่งแผ่นฟ้าแล้ว บ่งบอกว่าคืนนี้เขาทำงานหนักยิ่งนัก และอาจเพราะทำงานตั้งแต่เด็กกู่ซิงอีจึงสูงโปร่งกว่าบุรุษทั่วไปในเมืองจางอยู่บ้าง
ยามนี้เขานั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่กลางลานบ้านซึ่งรอบตัวเต็มไปด้วยไหสุราเกือบสิบไหที่เพิ่งยกมาวาง
‘สุราอาบแสงจันทร์ คนหมักเมามาย สุราย่อมรสชาติดี’
นี่เป็นความเชื่อส่วนตัวของเขา
ปีนี้กู่ซิงอีอายุสิบแปดแล้ว ตัวเขาเป็นเด็กกำพร้า โตมากับโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านกงโดยมีผู้เฒ่าเว่ยเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนั้นแหละที่เก็บเขามาเลี้ยงดู ที่นั่นการค้าไม่ได้คึกคักเท่าเมืองหลวงแห่งนี้ และด้วยเพราะเป็นทางผ่านของเส้นทางการขนส่งสินค้าจึงมีแค่ช่วงหนึ่งที่โรงเตี๊ยมจะมีลูกค้าเข้ามาพัก ดังนั้นเวลาว่างที่เหลือผู้เฒ่าเว่ยก็จะสอนเขาทำสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเสมอ
แต่ที่มักจะพูดโอ้อวดตนเองอยู่บ่อยครั้งว่าทำได้ดีที่สุดก็เห็นจะเป็นการหมักสุรานี่แหละ กู่ซิงอีในวัยเยาว์ก็ค้านหัวชนฝาตลอดว่าไม่จริงอยู่ทุกครา จนกระทั่งเขาได้เดินทางออกจากหมู่บ้านกงมายังเมืองจางเพื่อย้ายถิ่นฐานที่อยู่ตามผู้เฒ่าเว่ย ถึงได้รู้ว่ารสสุราของผู้เฒ่าเว่ยที่หมักเองกับมือนั้นรสชาติยอดเยี่ยมเพียงไร
หมู่บ้านกงที่เขาเคยอาศัยอยู่มาตั้งแต่เล็กไร้โรงเตี๊ยมแห่งอื่นเพราะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ จึงมีเพียงโรงเตี๊ยมของผู้เฒ่าเว่ยเท่านั้น ดังนั้นคนแก่ผู้นั้นจึงมักโก่งราคาค่าห้องมากกว่าเดิมเสมอ ทำให้ไม่กี่ปีก็เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจขายโรงเตี๊ยมพาตนย้ายมาเมืองหลวงหวังหาลู่ทางใหม่
แต่โชคไม่เข้าข้าง ไม่นานผู้เฒ่าเว่ยก็จากไป
กู่ซิงอีตอนนั้นอายุแค่สิบสี่ปี กอดเงินที่ผู้เฒ่าเว่ยทิ้งไว้ให้นั่งร้องไห้หน้าหลุมศพอยู่หลายวัน
ต่อมาจึงใช้วิชาหมักสุราที่ผู้เฒ่าเว่ยสอนหาเลี้ยงปากท้องตนเอง ทว่าล่วงเลยมาจนบัดนี้ ไม่ว่าเขาจะหมักสุราด้วยวิธีการใดล้วนไม่เคยได้รสชาติอย่างที่ผู้เฒ่าเว่ยหมักเลยสักครั้ง มีเพียงค้นพบว่าสุราของตนเองก็มีรสชาติเฉพาะเหมือนกัน แถมตอนนี้ยังเป็นสุราขึ้นชื่อที่มีคนต้องการมากมาย ความต้องการนั้นไม่ได้มาจากว่ารสชาติมันเลิศเลอจนเกินเหตุ แต่อาจเพราะมีน้อยราคาจึงแพงขึ้นอีกเท่าตัว ความต้องการก็เลยสูงขึ้นเช่นกัน
มิใช่กู่ซิงอีไม่เล็งเห็นจุดสำคัญที่จะทำให้ตนร่ำรวยขึ้นมาจากเรื่องนี้ แต่สามปีก่อนเคยทำมาแล้ว หมักเยอะขายเยอะ แต่กลายเป็นว่าคนได้ไปมักจะบอกว่าเป็นสุราของปลอม รสชาติไม่เหมือนที่เคยได้ลิ้มลอง
ภายหลังเขาถึงได้เข้าใจว่าต้องหมักตอนไหน แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะเหมือนเดิม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสุราของเขาต้องอาบแสงจันทราในวันที่พระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น
ดังนั้นสุราที่ขึ้นชื่อของเขาจึงถูกขนามนามว่า ‘สุราแสงจันทร์’
และเหนือสิ่งอื่นใดการหมักให้ได้รสชาติดีก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาด้วย เช่นวันนี้ที่เขารู้สึกไร้กังวลเลยสามารถหมักออกมาได้เยอะกว่าปกติ
เวลานี้บนท้องนภาปลอดโปร่งมีเมฆลอยเคลื่อนตัวเบาบาง ดวงจันทร์ส่องสกาวสว่างไสว แต่น่าเสียดายที่แสงจันทร์สว่างเจิดจ้าจนเกินไป ดวงดาวดวงน้อยจึงถูกบดบังรัศมีไปเกือบหมด
กู่ซิงอีฮัมเพลงเสียงเบา มือปลดน้ำเต้าข้างเอวที่ใส่สุราไว้ออกมายกกระดกไปอึกใหญ่ ก่อนจะหงายหลังลงบนแคร่ นอนห้อยขากระดิกเท้าตามจังหวะเพลงในลำคอ
ผมดำที่มัดไว้ลวก ๆ เป็นทรงสูงแผ่กระจายไม่เป็นทิศไม่เป็นทาง แต่เพราะใบหน้ารูปงามเป็นทุนเดิม ทั้งเกลี้ยงเกลาและได้สัดส่วน ไม่ว่าต่อให้เขาจะตีลังกานอนอย่างไรเสียก็ยังน่ามองอยู่ดี
ดวงหน้ารูปงามเริ่มเคลือบสีแดงเจือจาง มิได้มาจากพิษของสุรา แต่มาจากออกแรงมากไป คนทั่วไปยามปกติสามารถหมักสุราได้วันละไม่กี่ไหใหญ่ ตัวเขาเองก็เช่นกัน แต่วันไหนอารมณ์ดีก็มักจะยั้งมือไม่อยู่ มีของในโรงเก็บของมากเท่าไรก็ลงมือทำมากเท่านั้น! ดังนั้นสิบกว่าไหที่เรียงรายรอบตัวจึงทำให้ใช้แรงไปไม่น้อย
สายลมเย็นย่ำของค่ำคืนพัดผ่านมา กู่ซิงอีหลับตาพริ้มเพื่อพักผ่อนชั่วครู่เท่านั้น มิได้หวังจะหลับลึกเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราเพราะเขายังต้องเก็บสุรากลับเข้าที่ก่อนแสงแรกของวันพรุ่งนี้จะมาเยือน
ยามเมื่อได้หลับตาลงแล้วเสียงลมกลับชัดเจนกว่าเดิม กู่ซิงอีได้ยินเสียงลมแทรกผ่านกิ่งไม้ดังมาไม่ขาด ราวกับกำลังหยอกล้อใบไม้ที่เหลือไม่มากเท่าไรบนหัวของเขา
ต้นไม้ใหญ่กลางลานบ้านที่คอยให้ร่มเงากับบ้านหลังเล็กของเขามาเสมอ หลายเดือนก่อนยังคงผลิใบเต็มต้น ไม่นานกลับคล้ายสั่งลา แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า ‘ไว้พบกันใหม่’ เพราะมันเป็นต้นไม้ใหญ่อายุมากย่อมไม่ตายโดยง่าย ต่อให้เหมันต์ฤดูปีนี้ที่ใกล้มาเยือนมันก็จะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี
จวบจนกระทั่งเขาอดทนอีกนิด ไม่กี่เดือนก็จะพบใบน้อย ๆ ของมันแตกยอดออกมาใหม่ ดังนั้นต่อให้เวลานี้มันโรยรากู่ซิงอีก็เชื่อมั่นว่าเดี๋ยวมันก็กลับมาอีกครั้ง
สิ่งที่เขาไม่พอใจที่สุดก็คงจะเป็นต้นพลับที่อยู่หน้าทางออกของประตูบ้านต้นนั้นกระมัง ปีก่อนไม่ออกผลให้เขาสักผล ปีนี้ปลายทางของมันก็ยังคงไม่ต่างจากเดิม
“คอยดูเถอะ” เขายกนิ้วชี้เรียวยาวขึ้นกลางอากาศทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ก่อนจะชี้ไปในทิศทางที่ต้นพลับยืนต้นสูงเลยความสูงของตัวเขาไปเพียงนิด “ปีหน้าถ้าไม่ออกผล เจ้าตายแน่!”
ปีนี้นอกจากต้นที่มีเพียงกิ่งแล้วเหลือสิ่งใดให้เขาอีก เปลืองน้ำของบ้านผู้อื่นเหลือเกิน
กล่าวจบกู่ซิงอีก็ถอนหายใจ คิดว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยวันนี้ก็อากาศดี แสงจันทร์เด่นชัด ช่วงเวลาที่ดำเนินไปในแนวทางนี้ต่อไปย่อมเป็นวันที่สงบสุขของเขา!
อีกฝั่งกลางเมืองจางที่จวนใหญ่ของตระกูลว่าน ดึกดื่นค่อนคืนไปแล้วก็ยังมีคนผู้หนึ่งมิได้หลับใหลเช่นกัน
ว่านฟู่เฉิงนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ขาสองข้างถูกผ้าไหมมันเงาผืนหนึ่งปิดคลุมไว้ เขานั่งอยู่ข้างหน้าต่างมาสักพักแล้วเพราะนอนไม่หลับ ยามนี้กำลังเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่กำลังทอแสงบนท้องนภา เริ่มแรกที่เขามานั่งมองมันยังอยู่อีกฝั่งแต่ตอนนี้เริ่มขยับไปอีกทางแล้ว
ว่านฟู่เฉิงรู้ว่าพรุ่งนี้ยังต้องจัดการงานอีกเยอะแต่เขาก็ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด ยิ่งดึกลงไปมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้หวนนึกถึงเวลาเก่า ๆ ขึ้นมา นั่นคือช่วงที่ตนเองยังเดินเหินได้ดีก่อนจะล้มป่วยหนักจนพิการ
ความรู้สึกของขาที่วิ่งหรือเดินจนเมื่อยเป็นอย่างไรนั้นเขาแทบจำไม่ได้แล้ว สิ่งเหล่านั้นที่ผ่านมานานหลายปีล้วนกลายเป็นเพียงความทรงจำที่พร่าเลือน สองขาแม้จะยังมีความรู้สึกอยู่บ้างแต่ก็คล้ายด้านชาจนเคยชินไปเสียแล้ว
ยามนี้มีเพียงเรื่องหนึ่งที่จุกอยู่ในอกยากจะเอื้อนเอ่ยให้ผู้ใดได้ยินยล อีกส่วนคือความต้องการกลับไปเป็นเหมือนเดิมเท่านั้นที่ยังคงติดค้างในใจ
จวนตระกูลว่านเป็นจวนพ่อค้าที่ร่ำรวยติดอันดับต้นของแคว้นเหว่ย ดังนั้นย่อมมิใช่มีห้องหับเพียงไม่กี่ห้องหรือของมีค่าไม่กี่ชิ้นแบบบ้านคนมีฐานะทั่วไป จำต้องมีคนคอยตรวจตราตามเวลาเสมอ
ในตอนนั้นบ่าวชายที่เดินตรวจจวนอยู่ก็สะดุดตาเข้ากับเรือนแห่งหนึ่งที่ไฟยังติดอยู่และบานหน้าต่างถูกเปิดไว้ แน่นอนย่อมรู้ว่าที่ตั้งของเรือนซึ่งติดกับลานว่างนั้นเป็นที่อยู่ของผู้ใด เขาจึงเดินเข้ามาดูและได้เจอเจ้านายของตนยังคงนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างอย่างที่คาดไว้
“คุณชาย ดึกมาแล้ว ให้บ่าวช่วยท่านกลับไปที่เตียงดีหรือไม่ขอรับ” เขากล่าวถามด้วยความระมัดระวัง เพราะคุณชายว่านมักไม่ชอบให้ใครทำเหมือนว่าตัวเองพิการจนต้องคอยพึ่งพาคนอื่นตลอด
แต่ด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากร่างกายที่ผอมบางของคุณชายก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะหมดแรงในช่วงค่ำจนไม่มีแรงขยับเก้าอี้รถเข็นกลับไปด้านในด้วยตัวเองได้ บ่าวชายคนนี้จึงเอ่ยถามเพราะอยากช่วยจริง ๆ
“ไม่เป็นไร” ครั้งนี้ว่านฟู่เฉิงไม่ได้โวยวายเหมือนเมื่อก่อนตอนที่เพิ่งเดินไม่ได้ในช่วงแรกอีกแล้ว กลับสุขุมมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว เขาเอ่ยเนิบนาบออกไปว่า “ไปทำงานของเจ้าต่อเถิด”
“ขอรับคุณชาย” บ่าวชายรับคำเสร็จก็เดินตรวจเวรยามต่อ และคิดว่าอีกสักพักจะแวะมาดูใหม่ หากคุณชายเผลอหลับไปตนเองจะได้แอบปิดหน้าต่างให้ แต่คงไม่ได้เข้าไปช่วยขยับย้ายคุณชายเข้าไปที่เตียงนอนเพราะเกรงว่าจะไปรบกวนการนอนของคุณชายเข้า คงต้องปล่อยไว้บนรถเข็นเช่นนั้น
ว่านฟู่เฉิงหลับตาลงพักสายตา ชั่วขณะนั้นสายลมระลอกหนึ่งก็พัดเข้ามาทางหน้าต่าง เป็นความเย็นสบายที่ปลอดโปร่งแต่ก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของคนพิการเช่นเขาดีขึ้นเท่าไรนัก
สารทฤดูมาเยือน
สายลมเป็นใจ
ด้ายแดงจึงเริ่มถักทอ
