บท
ตั้งค่า

เรื่องเศร้าที่ยากจะลืม

อพาร์ทเม้นท์ไม่ได้ทันสมัยเหมือนคอนโดที่เพิ่งจากมา คือสถานที่พักซึ่งปิ่นคณางค์กำลังเดินขึ้นไป หญิงสาวพักอยู่ชั้นสี่ในจำนวนเจ็ดชั้นของสถานที่แห่งนี้ เดินขึ้นด้านบนห้องรู้สึกหายหนาวจึงก้าวเดินช้าลงไม่เหมือนตอนที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย เข้าภายในห้องพักทรุดแหมะตรงโซฟาชุดเล็กซึ่งอยู่ไม่ไกลประตู มือเรียวก็ดึงผ้าเช็ดหน้าที่นอนซุกในกระเป๋าสะพายขึ้นมาซับหยาดฝน สายตากวาดทั่วห้องพักที่แสนจะเงียบเชียบ มุมนี้คือห้องรับแขกที่เจ้าของห้องผู้แสนเงียบเหงาไม่เคยมีแขกสักคน...แต่ไม่เคยเสียใจที่ไม่มี เพื่อนสมัยเรียนพอจะมีเหมือนกันทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องแต่เมื่อครอบครัวเจอวิกฤติตนเองก็กลายเป็นคนเก็บตัวและไปกลับเชียงใหม่ กรุงเทพฯ ตลอด ตอนนั้นเองเพื่อนๆ เริ่มหายหน้ากันไปหมด บางครั้งหญิงสาวคิดว่าตนเองเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมากเกินไปทำให้หาเพื่อนสนิทได้น้อยหรือจะเรียกว่าแทบไม่มีเลยก็ได้ ไม่ไกลจากมุมโซฟาเมื่อเดินออกไปจะเป็นมุมหน้าต่างที่มีผ้าม่านสีขาวสะอาดปกคลุมอยู่ ดึงผ้าม่านออกไปจะเห็นวิวที่ใครได้เห็นคงคิดว่าสวยมาก ในยามค่ำคืนยิ่งชวนให้นั่งมองไม่รู้เบื่อ แต่สำหรับคนอยู่ในโลกความเศร้าสร้อย ที่นี่ไม่เคยสวยเมื่อมองจ้อง วิวสวยพลันหมองมัวมีสีดำแซมสีเทาจางๆ เสียทุกครั้ง เพราะเธอนั้นไม่เคยมีความสุขเมื่อได้มาพักที่แห่งนี้นั่นเอง แต่ความสุขทางกายเทียบไม่ได้หากต้องทำให้แม่ทุกข์ใจเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าแม่รู้คงเป็นแบบนั้น หญิงสาวจึงเลือกทางนี้แม้ต้องเจ็บปวดหัวใจและโหยหาการได้อยู่ร่วมกับแม่อยู่ร่ำไป คนไม่ยุติธรรมที่ทำให้ตนเองตัดสินใจออกมาอยู่ข้างนอก หญิงสาวไม่อยากเชื่อว่าเลือดครึ่งหนึ่งขอชายหนุ่มเหมือนกับตัวเธอ ครึ่งหนึ่งนายปรินทรคือคนไทย เพราะหญิงสาวไม่เคยเห็นคนเสียงดุยิ้มแย้ม มีน้ำใจแบ่งปันเรื่องดีให้กันเลยสักครั้ง “สยามเมืองยิ้ม” จะรู้จักคำนี้หรือเปล่านะ แต่ก็อดหันมามองตนเองไม่ได้เหมือนกันเมื่อคิดเรื่องนี้ขึ้นมา ตนเองนั้นเคยยิ้มพร้อมมีดวงตาเจิดจรัสมานานเท่าไหร่แล้วนะ จะไปคิดเพ้อเจ้อทำไมเพื่อให้คนแบบนั้นยิ้มแย้มเฉกเช่นมนุษย์กันล่ะ ถอนหายใจกับความคิดไร้สาระของตนเดินเข้าห้องครัวเล็กซึ่งอยู่เลยหน้าต่างชมวิวของห้อง เพราะร่างกายกำลังอุทรณ์ว่าต้องการน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว ได้ตามต้องการจึงกลับมานั่งดื่มตรงโซฟา ความมืดภายนอกหน้าต่างคงเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หญิงสาวเกลียดกลัวความมืดจัง ยิ่งมองดูเพียงลำพังใจยิ่งหดหู่

เกิดเรื่องราวขึ้นเธอขอออกมาอยู่ข้างนอกลำพังแม่ไม่คิดไต่ถาม ไม่มีท่าทีเป็นห่วง ยิ่งเพิ่มความเศร้าอีกหลายเท่าทวีคูณให้ คุณลุงเสียอีกที่พยายามยื้อเธอไว้ คุณลุงห่วงใยหญิงสาวจึงให้เหตุผลที่ว่า อยู่คนเดียวจนชิน คุณลุงจึงเลิกพูดยื้อไว้ ท่านคงเคยชินกับลูกชายมาก่อนแล้วเช่นกัน ท่านจึงไม่พูดอะไรอีกหลังจากนั้น

คิดถึงความเอื้ออาทรที่คุณลุงมอบให้ขึ้นมามันสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้ดวงใจที่เจ็บช้ำเสมอ ตอนนี้ตนเองทำเรื่องที่ถูกต้องแล้วแต่ในความคิดปรินทรนั้น คงมีเพียงเรื่องไม่ดี คงคิดว่าเชลยคนนี้อยากอิสรเสรีมากกว่า แต่ปิ่นคณางค์เองคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผล ปล่อยให้เขาคิดไปแบบนั้นก็ดี พูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์เพราะคนใจร้ายไม่วันเชื่อว่าเธอออกจากที่นั่นเพราะเรื่องร้ายกาจที่ตัวเขาหยิบยื่นให้นั่นเอง ที่พักแห่งนี้คงโกโรโกโสในสายตาของเขา แต่จะมองยังไงก็ช่าง ปิ่นคณางค์ก็ภูมิใจที่สามารถใช้จ่ายเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ดีใจเสียอีกที่ไม่ต้องขอเงินแม่ซึ่งอาจโดนดูถูกมากกว่านี้อย่างแน่นอน

เรื่องได้เข้าทำงานในที่เอพีกรุ๊ปนั้นเป็นการใช้ความสามารถส่วนหนึ่ง หญิงสาวข้าสัมภาษณ์งานตามกฎระเบียบทุกอย่างแม้ในตอนแรกนั้นจะเดินตามลูคัสต้อยๆ เข้าที่บริษัทก็ตามที

“อยากเล่นบทเป็นคนขยันก็ตามลูคัสไป” เจ้าของเอพีกรุ๊ปเอ่ยเสียงไร้อารมณ์เมื่อเธอพูดเรื่องอยากทำงาน ชายหนุ่มคงคิดว่าการเอ่ยถึงเรื่องงานของเธอนั้น เพียงต้องการสร้างภาพให้ดูมีค่าเพียงเท่านั้น แม้รังเกียจท่าทีนั้นแต่มันไม่ใช่เวลาที่มานั่งหยิ่ง เรื่องไม่อยากเข้าทำงานใกล้ชายหนุ่มก็เลิกคิดเสียเพราะท่องไว้ว่าตนต้องการเพียงเงินเท่านั้น ทำงานที่นั่นไม่เคยสักครั้งตัวเธอจะใช้อำนาจที่มีแม่เป็นคนของคุณลุงมาใช้ในที่ทำงาน อันที่จริงไม่มีใครเลยทราบว่าหญิงสาวเป็นลูกสาวของผู้หญิงของคุณลุง ปิ่นคณางค์เองไม่เคยคิดว่าแม่ได้เป็นภรรยาของคุณลุงหรอก หากก็คิดได้เพียงในใจ เพราะหากแม่รู้เข้าคงโดนต่อว่าจนหูชาเป็นแน่

การทำงานของหญิงสาวก็เพียงหวังจะเก็บเงินให้ได้เยอะที่สุดเพื่อสักวันหนึ่งหวังจะได้กลับบ้านกลับไปอยู่บ้านเกิดที่พ่อรักมาก

ตั้งแต่ออกมาอยู่ข้างนอกวันหนึ่งได้รับสายจากแม่ว่าจะมาหา คอยแล้วคอยเล่าแม่ก็ไม่มา ท้ายที่สุดท่านบอกให้ไปหาเองบอกว่าไม่มีเวลาให้เสียใจยิ่งนักกับเหตุการณ์ในวันนั้น ยิ่งคิดถึงคำพูดของปรินทรเมื่อวันนั้นที่ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอให้มีการชดใช้ความผิดแทนแม่ ปิ่นคณางค์ยิ่งเศร้าใจสับสน “ดูไปดูมาหน้าตาเธอไม่เหมือนแม่ไร้สำนึกสักนิดเดียว แม่บังเกิดเกล้าก็ไม่แสดงท่าทีว่าหวงเลยนะตอนเธอบอกจะออกจากบ้านมา น่าแปลกใจนัก”

ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าคำที่เขาพูดไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเคยได้ยินและหญิงสาวสงสัยคำพูดนี้มาตลอดเกือบทั้งชีวิตเช่นกัน

“หนูไม่เหมือนคุณแม่เลยนะคะ ใครๆ ก็พูดโดยเฉพาะเพื่อนๆ ที่โรงเรียน คุณครูก็ด้วย” ครั้งหนึ่งเมื่อตอนชั้นมัธยมต้นสาวน้อยปิ่นคณางค์เคยพูดกับพ่อด้วยความสงสัย

“แม่คือแม่สิลูก พูดอะไรอย่างนั้น ลูกต้องดูแลแม่หากวันหนึ่งพ่อไม่อยู่อย่าลืมเสียล่ะ” คำพูดพ่อคือยาสมานแผลในใจให้ปิ่นคณางค์มั่นใจในสายเลือด หากไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะเข้มแข็งมั่นใจได้นานอีกสักแค่ไหนเมื่อเรื่องราวต่างๆ ชวนให้ต้องคิดตรงกันข้ามแทบทั้งสิ้น และยิ่งนับวันก็ยิ่งตอกย้ำให้คิด

เรื่องราวเศร้าที่กัดกร่อนหัวใจ สุขภาพจิต ไม่มีวันจบสิ้นสักทีหากคิดซ้ำไปซ้ำมา ร่างบางจึงลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ หวังจะหนีอะไรที่ชวนให้ปวดหัว ปวดหัวใจการได้เข้านอนคือสิ่งที่ช่วยได้มาก แม้นยังไม่ถึงเวลาหญิงสาวก็อยากหลับไปเสีย เรื่องจะหลับตาลงหรือไม่เป็นเรื่องที่จะต้องเจอในสิบหรือสิบห้านาทีข้างหน้า แต่ไม่เป็นไรในเมื่อเธอมีตัวช่วย มันคือเพื่อนที่ได้มีการคบหาพกพาติดตัวมาพักหนึ่งแล้ว มันไม่ได้มีเพศหรอกนะเพราะมันคือ ยานอนหลับนั่นเอง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel