บท
ตั้งค่า

3

นั่งบนรถอิทธิพัทธ์คิดเรื่องที่เกิดขึ้น พยายามบอกตนเองว่าไม่ได้ทำผิดอะไรเลยเพราะหญิงสาวสมควรได้รับบทเรียนบ้าง จะได้รู้คนที่ทำความผิดนั้น ไม่ควรลอยนวลอยู่ในสังคมได้อย่างสง่าผ่าเผยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้ ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ปัดความรู้สึกผิดอีกอย่างออกไปจากใจ เรื่องที่พี่ชายต้องมารับช่วงต่อเจ้าสาวที่เป็นคู่หมายตนไปรับผิดชอบเอง

เรื่องราวที่เกิดมีหลายคนมาเกี่ยวข้องทุกคนก็รับโทษไปจนหมด ยังเหลือก็แต่ยายพสุกานต์หรือยายมาเรีย ที่รอดมาได้ เพราะครอบครัวตนเห็นใจหล่อนส่วนหนึ่ง

อิทธิพัทธ์เดือดแทบแย่เมื่อทุกคนต่างเข้าใจเหตุผลว่าเธอทำไปเพราะไม่ทราบว่าพี่ชายเขารักพี่สะใภ้ของตน

เชื่อเข้าไปได้ยังไง แล้วเหตุผลบ้าบอแค่นี้เพียงพอที่จะให้อภัยหรือไงกัน สำหรับเขาไม่มีทางเชื่อ คนนิสัยอย่างเอาชนะแบบนั้นมีหรือจะทำเรื่องไปเพราะเหตุผลเท่านั้น

ตอนนั้นยายยีราฟหายหน้าไปจากวงสังคมหลายเดือน บ้างก็ว่าหนีไปพักใจ บ้างก็ว่าหนีไปพักผ่อนกับผู้ชายคนใหม่ จนตนเองมาเจอเมามายในผับเมื่อคืน จึงเริ่มต้นบทลงโทษ แก้แค้นในแบบที่เขาต้องการนั่นเอง

ปกติตนไม่ชอบทำอะไรแบบนี้หรอกนะ การนอนกับผู้หญิง มันจะสนุกอะไรหากเธอไม่มีสติรับรู้ความสุขร่วมกัน แต่กับผู้หญิงคนนี้ขอเว้นไว้สักคนที่จะทำอะไรนอกเหนือที่เป็นตัวตนที่แท้จริง และหล่อนคงไม่คิดสั้นหรอกนะ กับเรื่องที่ตนจัดฉากขึ้นมา ถ้าจะตายคงไปเกิดแล้วตอนนี้ เพราะเวลามันเนิ่นนานพอสมควรแล้วกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

หลังจากคิดสะใจอิทธิพัทธ์ก็กดโทรรายงานคุณตาทันทีว่ากำลังจะถึงที่หมายที่นัดไว้แล้ว

สองเดือนต่อมา ภายในคฤหาสน์บูรกิจซึ่งตั้งอยู่ในกลางเมืองกรุงเทพฯ… คาร่า บูรกิจ ประธานใหญ่ของบูรกิจกรุ๊ปไม่มีอารมณ์นั่งจิบกาแฟอีกแล้ว เมื่อรอแล้วรอเล่าลูกสาวก็ไม่เห็นเดินลงมาจากห้อง ไม่รอให้เด็กไปเรียก ไม่ทันใจจึงมุ่งตรงไปยังห้องนอนลูกสาวด้วยตนเอง เพราะเริ่มทนไม่ได้ที่ลูกสาวไม่เข้าไปดูแลงานที่โรงแรมมาหลายสัปดาห์แล้ว ก่อนหน้าจะกลับมาทำงานอีกครั้งตนเองก็ให้หยุดไปพักผ่อนเกือบสองเดือนยังจะทำแบบนี้อีก มันน่าตีให้รู้สึกเสียบ้างเพราะถึงจะโตแต่ก็ยังทำตัวยิ่งกว่าเด็กตัวเล็กๆ เสียอีก

“กลับจากอิตาลีทำไมไม่ไปทำงานล่ะมาเรีย หมดเวลาหลบหนีสังคมแล้วนะ อย่าทำตัวเป็นเด็กได้ไหม”

ร่างสวยในชุดนอนบางเบาซึ่งนอนอ้อยอิ่งอยู่ลุกขึ้นจากเตียง “คุณแม่ยังอยากให้หนูไปทำงานหรือคะ คิดว่าคุณแม่อยากให้หนูไปอยู่อิตาลีตลอดไปซะอีกหลังจากวันนั้น”

“อย่าทำเป็นรู้ดี ไปทำหน้าที่ของตนเองอย่าให้บกพร่อง อย่าให้ใครมาว่าได้ว่าเรื่องนั้นทำให้เสียงานเสียการ หรือถ้าอยากให้ทุกคนรื้อฟื้นเรื่องบ้าบอที่ผ่านมาจะขัดใจกันก็ทำเลย”

พสุกานต์คิดว่าพูดผิดไปเสียแล้ว หญิงสาวเสยผมยาวสีน้ำตาลอ่อนที่รุ่ยร่ายพร้อมกับหันหน้าไปอีกด้านกับที่ใบหน้ามารดาลอยอยู่ อันที่จริงอยากเดินหนีเข้าห้องน้ำแต่ทำได้คือเดินไปหยิบมือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะไม่ไกลเตียงเพื่อดูเวลา อดคิดไปด้วยไม่ได้ ทุกคนของที่ท่านเอ่ยคงไม่พ้นน้องสะใภ้ที่ท่านชิงดีชิงเด่นอีกแล้วสินะ

ณาริน คือคนที่มารดาแย่งชิงความรักของฝ่ายนั้นมา หญิงสาวรับรู้เรื่องนี้จากการพูดคุยในคืนหนึ่งตอนอายุสิบห้าปี เธอจำได้ไม่มีวันลืม แม้จะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ตลอดมาเรื่องนี้ก็เข้ามาเกี่ยวพัน ทำร้ายชีวิตเธอไม่มีวันจบสิ้น

ถึงแม้มารดาได้คุณพ่อมาครอบครองแต่ท่านก็ไม่ได้สมหวังไปหมดทุกอย่าง แม้จะได้เป็นสะใภ้ใหญ่ของบูรกิจแต่คุณพ่อก็ไม่ได้รักใคร่ใยดีท่านเลยสักนิดเดียว พสุกานต์ยังจำได้ทั้งสองมีปากเสียงกันเสมอ ชีวิตครอบครัวไม่ได้มีความสุขอย่างที่สังคมภายนอกเห็น บิดามีผู้หญิงคนอื่นตลอดเวลา หากแม้ครอบครัวจะไม่สมบูรณ์ตนนั้นก็พยายามไม่เป็นเด็กที่เห็นปัญหาผู้ใหญ่แล้วร้องไห้ เธอทำตัวดีมาตลอด ขยันเรียน เชื่อฟัง แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็ไม่เคยสักครั้งที่ท่านทั้งสองชื่นชมยินดี เพราะเมื่อเลี้ยงยินดีกับความสำเร็จของบุตรสาวครั้งไหนก็ตามถ้ามีบิดา มารดาก็จะไม่เห็น

พสุกานต์เศร้าในหัวใจอย่างไรไม่รู้เมื่อคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นขึ้นมา

“พอจะคุยก็ต้องหนีสิน่า แต่ก็ดีไปอาบน้ำซะจะได้ไปทำงาน”

เสียงมารดายังดังอยู่เมื่อพสุกานต์ย่างก้าวเข้าห้องน้ำเพราะไม่อยากคุยอีก เหตุเพราะพสุกานต์ไม่เคยลืมสองเดือนก่อนที่มารดาตบหน้าเธอเป็นครั้งแรกในชีวิต ครั้งนั้นเธอต้องหลบหนีความเสียใจและทำให้เจอเรื่องที่เสียใจยิ่งกว่าเข้าไปอีก

คืนนั้นแค่เธอแสดงความคิดเห็นกับครอบครัวญาติผู้น้อง เรื่องการจับคู่ ณฉัตรกับ คนในตระกูลอัครพิภพ เธอพูดผิดตรงไหน อาจเพราะคุณน้าณารินปากเสียต่อว่ากันเธออิจฉาน้องก็ได้ พสุกานต์เลยสวนกลับว่าไปด้วยเสียงดังก้องว่า ‘คิดแบบไร้สมองคิดได้ยังไง’ แต่มารดาไม่น่าจะโกรธขนาดตบหน้ากันเลย แม้ตอนหลังท่านบอกเหตุผลที่ทำเพราะอยากหยุดการกระทำไม่ทันยั้งคิดนั้นแต่เธอยังเสียใจไม่หายอยู่ดี

ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาพสุกานต์ลงบันไดมาจากชั้นสอง คาร่าซึ่งนั่งอยู่หันเห็นลูกสาวแต่งตัวสวยงามเหมือนกลับมาเป็นคนเดิมจึงยิ้มออกมาได้

“เอาล่ะ อย่าลืมอีกอย่างล่ะคืนนี้ต้องไปงานเลี้ยงแทนแม่ด้วย”

“แต่หนูไม่อยากไปคุณแม่ก็ทราบ”

พสุกานต์หยุดเดินและปฏิเสธ น้ำเสียงติดจะดื้อดึงนั้นทำให้คาร่าหุบยิ้ม “บอกแล้วไงหมดเวลาหลบหนีสังคมแล้ว มีแต่อัครพิภพเท่านั้นที่รู้เรื่องราวไม่ดีที่เกิดขึ้น ส่วนคนที่บริษัทแม้ข่าวจะรั่วไหลออกมาบ้างแต่ใครจะกล้าพูดหึ อีกอย่างทางอัครพิภพได้ให้อภัยแล้วด้วย ไปเถอะอย่าดื้อกับแม่”

“เขาอภัย” หญิงสาวมองหน้ามารดา ปากได้รูปที่เคลือบด้วยลิปสติกสีโอโรสยิ้มหยัน “เพราะคบหากันมานานอีกละสิที่คุณแม่จะพูด หรือเพราะว่าการจับคู่ใหม่ที่เกิดขึ้น ทางโน้นจึงไม่มีทางโกรธทางฝ่ายเราอีก แต่หนูไม่เชื่อว่าเขาจะลืมง่ายดายอย่างที่บอกหรอก” ใบหน้ากวนต่อมประสาทของคู่กัดลอยเข้ามา หัวใจหญิงสาวเจ็บปวดอย่างประหลาด แต่ยังมีแรงถามเรื่องที่มั่นใจ

“ถามจริงเถอะค่ะไม่เหนื่อยกันบ้างหรือ และไม่กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยรึไง นายมาร์ครึจะดูแลใครได้”

“เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีกคุณมาร์คเป็นยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่ลูกต้องพูดออกมา เรื่องนี้แม่ขอคิดเอง ว่าจะเอายังไงต่อ ลูกไปทำงานซะ ”

มารดาหน้าแดงเสียงเข้มพสุกานต์จึงเดินผ่านห้องโถงด้วยความฝืนใจ ทั้ง ที่อยากจะบอกท่านออกไปว่า เป็นหนูหรือไงคะที่เริ่มเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน

ก่อนถึงรถพสุกานต์เดินคิดด้วยจิตใจเลื่อนลอยว่ามารดารักตนเองมากน้อยแค่ไหนกันนะ ท่านไม่เคยปลอบใจกันสักนิดวันที่เธอต้องเสียใจต้องเสียขวัญกับเรื่องที่ทำผิดพลาดไป หนำซ้ำด่าทอให้เสียใจ หรือที่กวดขันให้เธอทำอะไรโน่นนี่มาตลอดเพียงเพราะท่านไม่อยากให้เรื่องราวไม่ดีกระทบกับตัวท่านกันแน่ ก็ท่านหวงแหนและหวงเก้าอี้ประธานใหญ่ของบูรกิจซะขนาดนั้นนี่น่า

เพราะอะไรก็ตามที่ทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเสียหายเกี่ยวพันกับตัวท่าน มารดาสั่งห้ามเธอทำเป็นอันขาด ตลอดระยะเวลาที่พสุกานต์เริ่มโตและเข้ามาช่วยงานของครอบครัว

เมื่อคิดว่าเป็นแบบนั้นหัวใจหญิงสาวพลันหดหู่ว้าเหว่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel