บทที่ 3.4
เธอรับมาถือไว้แล้วนั่งลงทำต่อจากที่ชายหนุ่มทำค้างไว้ ท่าทางเก้ๆ กังของหญิงสาวทำให้คนมองดูถึงกับส่ายหน้า
“มานี่ จะทำให้ดูอีกที” ชายหนุ่มจัดการอธิบายวิธีการทำงานชิ้นแรกให้ฟังใหม่อีกครั้ง
“พวกใบแก่หรือต้นไม้อื่นที่ไม่ใช่ต้นของมันเด็ดออกให้หมด ไม่งั้นมันจะมาแย่งอาหารกินแล้วทำให้สตรอว์เบอร์รี่โตไม่เต็มที่” เขาพูดไปทำไป
ชุติมาเป็นผู้ดูอย่างตั้งใจ เหมือนจะง่ายแต่ปัญหาคือ
“ฉันไม่รู้ว่าอันไหนควรเด็ด ไม่ควรเด็ด” เธอพูดเสียงอ่อย
“โธ่เอ้ย นึกว่ารู้จักมาบ้าง ถามจริงๆ คุณรู้จักอะไรเกี่ยวกับสตรอว์เบอร์รี่บ้าง” เขาถามอย่างดูแคลน
“รู้” เธอก้มหน้าตอบเสียงอุบอิบ
“รู้ว่าอะไรมั่ง” เขาถามไปทำไป ทุกนาทีในเวลาทำงานมีคุณค่ากับไร่เสมอ
“รู้ว่ามันมีผลสีแดง รสชาติอร่อย เป็นของที่ทำรายได้ให้ชาวบ้าน” หญิงสาวตอบอย่างภาคภูมิใจ
“นี่เหรอที่คุณรู้” เขาเงยหน้ามองเธอด้วยสายตาเย้ยหยันเล็กน้อย
“ใช่ ก็ฉันไม่ใช่ชาวไร่อย่างคุณนี่ จะได้รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมัน” เธอพูดความจริง บริษัทของธีระมีเจ้าหวานฉ่ำเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ส่งออกก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าพนักงานบัญชีอย่างชุติมาจะต้องมาเรียนรู้วิธีการปลูกสตรอว์เบอร์รี่อย่างละเอียด
“แต่ถ้าคุณคิดว่าอยากจะรู้จักคุณก็ควรศึกษา เหมือนเวลารู้จักคนคุณศึกษาเขาไหม หรือว่าไม่ต้องเสียเวลาทำความรู้จักถ้าใช่ในอย่างที่ต้องการก็เปิดทางเลย” ชายหนุ่มเงยหน้ามองตาเธอ
คำพูดของกวินทำให้หญิงสาวเดาไม่ออกว่าเขากำลังตำหนิหรือพูดให้เธอซึ้งไปกับถ้อยคำที่มีความหมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ชุติมาก็ไม่เคลิ้มไปกับคำพูดเมื่อครู่ และเริ่มรู้สึกว่าทุกครั้งที่เจ้านายหนุ่มพูดอะไรที่เกี่ยวกับตนเองก็มักจะมีคำพูดแปลกๆ ที่ส่อความหมายให้เข้าใจได้หลายแง่มุม ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนแต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเลิกคิดตามเสีย
“ไม่รู้ซิ ฉันรู้จักใครก็คุยไปเรื่อยๆ ถ้าคุยสนุกไม่ขัดคอก็คุยต่อ แต่ถ้าคุยแล้วคิดไม่เหมือนกันก็คงคุยน้อยหน่อย” เธอนั่งลงลองเด็ดสิ่งที่จะมาแย่งอาหารเจ้าสตรอว์เบอร์รี่ ดูเหมือนว่าชักจะไม่ยากอย่างที่คิดแล้ว
“งั้นคุณก็ลองคุยกับสตรอว์เบอร์รี่ของผมดูแล้วกัน หวังว่ามันจะไม่ขัดคอคุณนะ” เขาลุกขึ้นเดินหนีไปทางอื่น ปล่อยให้ชุติมาแอบเบ้หน้าคนเดียวด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
จากเช้ามืดที่กวินให้งานไว้จนฟ้าสางเป็นเวลาไหนก็ไม่ทราบ คนงานในไร่ต่างทยอยกันไปที่โรงอาหาร ไม่มีใครรู้จักหญิงสาวเป็นใครอีกทั้งเจ้าตัวก็ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งของเจ้าของไร่อย่างเคร่งครัด ทำให้ไม่มีใครคิดจะเรียกเธอไปรับประทานอาหารเลย
“คุณมาครับ คุณมา” เสียงเดชร้องเรียกมาแต่ไกล
“อ้าว คุณเดช อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ชุติมาเงยหน้ามองหาต้นเสียง เดชเดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับถ้วยโอวัลตินที่มีควันหอมฉุยจนหญิงสาวเริ่มรู้สึกหิว
“ไม่อรุณแล้วครับ สายป่านนี้แล้ว ทำไมคุณมาไม่ไปทานข้าวกับคนงานที่โรงอาหาร ผมถามแม่ครัวเห็นบอกว่าคุณวินเข้าไปในเมืองไม่ทานอาหารเข้า เลยเป็นห่วงว่าคุณมาทานอะไรหรือยัง นี่ครับ โอวัลติน”
“ขอบคุณค่ะ” ชุติมารับแก้วโอวัลตินมาจิบ มิน่าล่ะ เธอถึงได้รู้สึกเหมือนลมจะขึ้นที่แท้ตอนนี้ก็เลยเวลาอาหารเช้ามาแล้วนี่เอง
“คุณกวินไปไหนเหรอคะ” หญิงสาวเดินกลับไปที่โรงอาหารพร้อมกับผู้จัดการไร่คนเก่ง เดชบอกว่าอาหารเช้าน่าจะยังพอมีเหลือให้รีบมาทาน เขาจึงชวนเธอมาที่โรงอาหารอีกครั้ง
“ไปหาลูกค้าครับ วันนี้คงเข้าไปในเมืองทั้งวัน กว่าจะกลับก็เย็นโน่น”
ปกติแล้วกวินมักจะออกไปนอกไร่สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เพื่อไปติดต่อทำธุระจำเป็นหรือเยี่ยมเยียนคู่ค้าของตน เพราะส่วนใหญ่แล้วชายหนุ่มมักให้เวลากับเจ้าผลสีแดงที่อยู่ตรงหน้าชุติมามากกว่าสิ่งอื่นใด
“นี่สตรอว์เบอร์รี่ที่เตรียมแปรรูปครับ” เดชอธิบายเมื่อชุติมาเห็นตะกร้าใบใหญ่ที่มีเจ้าผลไม้สีแดงเต็มตะกร้า
“ไร่เรามีโรงแปรรูปที่คุณวินสร้างไว้ อยู่ทางด้านโน้น คุณมาเคยไปหรือยังครับ” เดชชี้มือไปทางที่กวินไม่ได้พาเธอไปเมื่อวานนี้
“ยังค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า
“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จผมพาไปดูก็ได้ครับ รับรองว่าคุณมาจะต้องอึ้งไม่คิดว่าไร่เรามีแบบนี้ด้วย” เดชคุยโว
ชุติมาอมยิ้มเล็กน้อย รับปากผู้จัดการไร่คนเก่งว่าจะไปตามที่เขาชวน เดชพามาที่โรงอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแปลงสตรอว์เบอร์รี่ ชายหนุ่มตักอาหารมาให้หญิงสาวเท่าที่มีเหลือพร้อมกับนั่งทานเป็นเพื่อน
“ที่นี่มีอาหารให้คนงานตลอดสามมื้อ คุณมาต้องมาให้ตรงเวลานะครับ” ชายหนุ่มตักข้าวเข้าปากคำแรก
“กับข้าวอร่อยมากเลยค่ะ ป้าแกเป็นแม่ครัวที่นี่มานานแล้วเหรอคะ” ชุติมาชื่นชมฝีมืการทำกับข้าวจากใจจริง
“ป้าแก้วอยู่ก่อนผมเกิดอีกครับ อร่อยก็ทานเยอะๆ นะครับ” เดชตักกับข้าวใส่จานหญิงสาวเพิ่ม ทั้งสองทานไปคุยไปอย่างสนุกสนาน ในระหว่างนั้นชุติมารู้สึกว่ามีสายตาของใครจับจ้องมองเธอเป็นระยะ
และแล้วชุติมาก็รู้ว่าคนที่คอยแอบมองเธอคือสายตาคู่เดียวกับที่มองอย่างไม่ชอบใจเมื่อวานนี้ มะลิกำลังช่วยแม่ครัวเช็ดจานชามเข้าที่แต่ดูเหมือนมือก็ทำไปแต่สายตาก็จ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เอ่อ มะลิทำงานในครัวด้วยเหรอคะ” ชุติมากระซิบถามเบาๆ
“ลูกสาวป้าแก้วครับ ช่วยงานแม่แล้วก็ทำงานในไร่ด้วย มีอะไรหรือเปล่าครับ” เดชถามอย่างแปลกใจ
“ไม่มีอะไรค่ะคือเมื่อวานเจอกันครั้งหนึ่งที่บ้านพัก ดูเหมือนมะลิจะอารมณ์ไม่ดีนะคะ” สิ้นคำเสียงกระแทกจานชามก็ดังขึ้นเป็นระยะ จนเดชต้องหันไปมองตาม
“อย่าไปถือเลยครับ มะลิเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่มีคนมาอยู่ใหม่”
เดชพยายามให้บรรยากาศดีขึ้นด้วยการชวนชุติมาคุยเรื่องอื่นแทน เขาแอบถอนหายใจเมื่อหันไปสบตากับสาวน้อยที่แทบจะมองกลับมาอย่างกินเลือดกินเนื้อ มะลิหนอ มะลิ ยังไม่ทันจะรู้เลยว่าใครเป็นใครก็ตั้งป้อมเป็นศัตรูกับทุกคนที่อยู่ใกล้กวินแล้ว มะลิป่าหรือจะสู้กุหลาบงามในแจกันได้ โดยเฉพาะกุหลาบงามดอกนี้ที่ชื่อชุติมา
บ่ายโมงตรงเป๊ะ เหล่าคนงานก็พร้อมใจกันลงไปที่แปลงสตรอว์เบอร์รี่อีกครั้งและทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายต่อไป ไม่มีใครแสดงท่าทีเหนื่อยล้าหรือจะเกเรเวลานายไม่อยู่สักคนเดียว
“คนงานที่นี่มาจากไหนคะ ทำไมขยันรู้หน้าที่กันจัง” ชุติมาเอ่ยด้วยความแปลกใจ
“ส่วนใหญ่อยู่มานานจนรู้ว่าต้องทำอะไรยังไงน่ะครับ ที่นี่ไม่ค่อยมีคนใหม่”
“เหรอคะ” หญิงสาวไม่คิดมาก่อนว่าคนงานในไร่จะจงรักภักดีกต่อกวินมากถึงเพียงนี้ ที่สำคัญทุกคนมีวินัยในการรับผิดชอบงานโดยไม่ต้องคอยเตือนหรือพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่างน่าทึ่งจริงๆ
“บางคนอยู่ตั้งแต่รุ่นบุกเบิกไร่ใหม่ๆ บางคนมาหลังจากนั้นแต่พอมาอยู่แล้วก็ไม่มีใครคิดจะออกไปอยู่ที่อื่น” ผู้จัดการไร่เล่าอย่างมีความสุข
“หายากนะคะแบบนี้ สมัยนี้พอเป็นงานแล้วไม่ออกไปทำเองก็ไปหาที่อื่นที่เงินเดือนสูงกว่า คนที่คิดจะอยู่แบบฝังรกรากไม่ค่อยมีแล้ว”
“ที่นี่ไม่มีใครอยากไปไหนหรอกครับ เจ้านายที่นี่ใจดีทุกคนบางคนอยู่จนมีลูกมีหลานก็ถูกส่งให้เรียนจนจบตามที่มีปัญญา พอจบแล้วถ้าไม่ไปหางานที่ไหนก็มาทำงานในไร่ต่อ”
“รวมทั้งคุณเดชด้วยหรือเปล่าคะ” หญิงสาวหันมาถาม
“ครับ พ่อผมเป็นหัวหน้าคนงานเก่าตั้งแต่สมัยรุ่นคุณพ่อคุณกวิน” ชายหนุ่มยอมรับ
