ตอนที่ 2 ทางเลือก
พราวมุขรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเดินเข้าแดนประหาร ระหว่างที่กำลังจะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่พนักงานทั่วไปไม่มีใครเคยได้ไป แม้แต่ระดับหัวหน้าแผนกก็น้อยคนนักจะมีโอกาสได้มาเหยียบชั้นนี้
ปกติหากโภไคยมีเรื่องต้องคุยกับหัวหน้าแผนกคนไหนก็จะเรียกคุยที่ห้องประชุมเล็กมากกว่าให้ขึ้นมาพบที่ห้องทำงาน ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามและมีความเป็นส่วนตัวสูง ชั้นนั้นจึงมีเพียงโภไคย พัชรีที่เป็นเลขา และแม่บ้านที่จะดูแลเรื่องความสะอาดและดูเรื่องอาหารการกินของโภไคยเท่านั้น
ยิ่งคิดพราวมุขก็ยิ่งกลัวกับสิ่งที่เธอกำลังจะเผชิญจนอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตคนอื่นจะเป็นเหมือนเธอบ้างหรือเปล่าที่ต้องเจอกับเรื่องราวที่บั่นทอนชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่พ่อเสียไม่ถึงครึ่งปีแม่ก็มาเสียตาม ในขณะที่เธอกำลังจะทำใจได้เกี่ยวกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นั้นก็ต้องมารับรู้ว่าบ้านที่อยู่ปัจจุบันนั้นติดจำนองกับธนาคารและกำลังจะเข้าขั้นตอนของการฟ้องร้องจนเธอต้องรีบไปเจรจากับธนาคารเพื่อไกล่เกลี่ยและชะลอการฟ้องร้องนั้น โดยยอมนำเงินก้อนอันน้อยนิดก้อนสุดท้ายที่เหลือจากการจัดงานศพให้แม่ไปจ่ายค่าบ้านที่ขาดส่งแล้วขอผ่อนผันหนี้ที่เหลือ และเธอก็ต้องพลาดพิธีรับปริญญาเพราะไม่มีแม้แต่เงินที่จะลงทะเบียนสำหรับงานอันสำคัญนั้นซึ่งเป็นอีกเรื่องที่เมื่อนึกทีไรเธอก็รู้สึกเสียใจและเสียดาย อุตส่าห์ตั้งใจเรียนจนจบแต่สุดท้ายรูปรับปริญญาประดับฝาบ้านก็ยังไม่มีโอกาสได้ครอบครอง
ติ๊ง!
เสียงประตูลิฟต์เปิดออก พราวมุขค่อย ๆ เดินออกจากลิฟต์อย่างช้า ๆ ด้วยท่าทางหวาดหวั่น จมูกและตายังคงแดงก่ำจากการร้องไห้มาหมาด ๆ ใจที่เต้นผิดปกติเพราะความกลัวกับสิ่งที่จะเจอก็มากขึ้นเท่าตัวจนมือไม้ชุ่มเหงื่อไปหมด
บรรยากาศของชั้นทำงานที่อยู่สูงสุดของตึกช่างโอ่อ่าต่างจากชั้นที่เธอทำงานอยู่ ภาพรวมของบริษัทว่าหรูแล้วพอมาถึงชั้นนี้พราวมุขรู้สึกว่ามันเกินคำว่าหรูและไฮเทคไปมาก แต่ถึงจะหรูหราไฮเทคแค่ไหนก็ไม่อาจลบความกลัวที่กำลังเกาะกินใจของเธอให้หมดไปได้ ยิ่งเดินไปใกล้จุดหมายเท่าไหร่ก็เหมือนกับเวลาชีวิตของตัวเองน้อยลงไปทุกที
หญิงสาวสังเกตว่าชั้นนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาแม้แต่ทางเดินไปห้องของนายใหญ่คนที่เรียกเธอขึ้นมาพบครั้งนี้ก็ยังต้องผ่านระบบBody Scan แบบภาพเอ็กซเรย์ที่ใช้กันในสนามบินก่อนจะไปถึงประตูอีกชั้นที่เป็นระบบปลดล๊อคจากด้านในเท่านั้น และก็เป็นการปลดล๊อคผ่านระบบสแกนนิ้วมือจากเลขาหน้าห้องนายใหญ่ที่เธอพอจะคุ้นตาอยู่บ้าง
“นายรออยู่ด้านใน” ไม่ทันที่พราวมุขจะเอ่ยถามอะไร คนที่ยืนมองตั้งแต่เธอเดินออกจากลิฟต์มาก็เอ่ยขึ้นราวกับว่ารออยู่ก่อนแล้ว
หญิงสาวยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าเดินเข้าไปในห้องที่พนักงานต่างก็ไม่มีใครเคยรู้ว่าด้านในเป็นแบบไหนนอกจากพัชรีและแม่บ้านประจำชั้นนี้เท่านั้น น้ำตาที่พึ่งบังคับให้หยุดไหลคล้ายจะไหลออกมาอีกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่จะเป็นผู้ตัดสินชะตาชีวิตของเธอ
“นายไม่ชอบรอใครนาน รีบเข้าไปจะดีกว่า” เสียงเตือนนิ่ง ๆ ของพัชรีทำให้พราวมุขสะดุ้งเล็กน้อย
หญิงสาวรวบรวมความกล้าที่แทบไม่มีเหลือให้ตัวเองอีกรอบแล้วเดินตรงไปยังประตูบานใหญ่ที่ดูแน่นหนาและสวยงามตรงหน้าพร้อมกับความรู้สึกหวาดหวั่นที่ก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พลางนึกถึงสิ่งที่เคยได้ยินพนักงานพูดกันถึงพัชรีว่าเธอคนนี้มีท่าทีที่น่าเกรงขามไม่น้อยกว่าเจ้านาย สมกับเป็นเลขาหน้าห้องของนายใหญ่ ซึ่งจากที่พราวมุขได้เจอวันนี้ก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด
พัชรีจัดได้ว่าเป็นสาวสวยแถมดีกรีการศึกษาก็จบจากเมืองนอก การแต่งหน้าแต่งกายก็โฉบเฉี่ยว หลายคนเคยสงสัยความสัมพันธ์ของหล่อนกับนายใหญ่ว่ามีอะไรมากกว่าเลขากับเจ้านายหรือเปล่า แต่พัชรีไม่สนใจเพราะไม่มีใครรู้ดีเท่าเธอและโภไคยว่าเป็นเพียงเจ้านายและลูกน้องจริง ๆ
ไม่ใช่ว่าพัชรีไม่สวยจนโภไคยเมินแต่เพราะเลขาสาวทำงานได้ดีและรู้ใจเจ้านายจนโภไคยไว้วางใจเกินกว่าจะให้มาเสียเพราะเรื่องส่วนตัว และพัชรีก็ฉลาดพอที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโภไคยในเชิงชู้สาว เพราะลึก ๆ แล้วเธอและเจ้านายต่างก็มีผลประโยชน์ต่อกัน เธอทำงานและรักษาความลับเจ้านาย ส่วนโภไคยก็จ่ายเงินให้กับความเหนื่อยของเธอแบบว่าหายเหนื่อยทันทีที่เห็นตัวเงินเช่นกัน นานวันจึงมีแต่ความเคารพกันในฐานะเจ้านายลูกน้อง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
พราวมุขเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องทำงานที่มีป้ายติดหน้าประตูบานใหญ่ไว้ว่ากรรมการผู้จัดการแล้วเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ ก่อนจะปิดลงแล้วยืนอยู่ชิดบานประตูไม่ยอมขยับตัวไปไหน
ในขณะที่โภไคยกำลังยืนหันหลังให้ประตู มือล้วงลงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างและกำลังมองออกไปนอกกระจกบานใหญ่อย่างครุ่นคิดถึงการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ทันเวลา
“คุณรู้หรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป” เสียงทุ้มหนักถามโดยไม่หันมามอง
เพียงแค่ได้ยินเสียงพราวมุขก็แทบจะร้องไห้ออกมา ดูเหมือนว่าความกลัวของเธอกำลังจะถึงขีดสุด แต่ก็พยายามตั้งสติทำใจดีสู้เสือเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานที่ทั้งใหญ่และหรูหรานั้นจนได้
“ขะ ขอโทษค่ะ” หญิงสาวพูดออกไปทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าคำขอโทษนี้ต้องการใช้สำหรับเรื่องไหน ถ้าเรื่องที่ทำไฟล์หายมันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะจบแค่คำขอโทษสั้น ๆ แต่สถานการณ์ตอนนี้จะให้พูดอะไรที่ดีกว่าคำนี้เธอก็คิดไม่ออกจริง ๆ
“รู้ใช่ไหมว่าสิ่งที่คุณทำมันสร้างความเสียหายแค่ไหนต่อบริษัท” ใบหน้าคมหันมาพูดกับผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นจนหญิงสาวแทบจะแข็งไปทั้งตัวเพราะความกลัว
สายตาที่แสดงถึงความกลัวนั้นถูกส่งไปยังเจ้าของห้องราวกับลูกแกะตัวน้อยที่หวาดกลัวราชสีห์ รางบางไหล่ห่อตัวสั่นทั้งที่เอเองก็ใส่สูททำงานที่ไม่ได้บางนัก
ทันทีที่ได้เห็นผู้หญิงต้นเหตุของปัญหาใหญ่ในครั้งนี้สายตาที่ดุดันไม่ต่างจากอารมณ์ของชายหนุ่มก็หรี่ลงเพื่อปรับโฟกัสไปที่คนตรงหน้า โภไคยไม่คิดว่าตัวปัญหาของเขาครั้งนี้จะยังดูเด็กแบบพึ่งสลัดชุดนักศึกษาแบบนี้
ดวงหน้าที่สวยงามนั้นมีดวงตากลมโตที่โดดเด่นรับกับจมูกที่รั้นนิด ๆ ช่างเข้ากับริมฝีปากสีแดงสดตามธรรมชาติที่ตอนนี้ถูกเคลือบด้วยลิปกลอสสีใส แม้หญิงสาวจะแสดงถึงความหวาดกลัวที่มีต่อตัวชายหนุ่มจนไหล่ห่อตัวสั่นแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่าสนใจในตัวหญิงสาวนั้นลดลงแม้แต่น้อย
“รู้ค่ะ”น้ำเสียงที่เบาหวิวตอบออกไป
“รู้แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ ไหนคุณลองบอกเหตุผลมา” ร่างสูงเปลี่ยนจากยืนมานั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน มือทั้งสองข้างประสานกันบนตักแล้วถามกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่คล้ายมีความโมโหแต่ก็ไม่ได้ตะคอกรุนแรง
“มุขกำลังจะเข้าไปในไฟล์กลางข้อมูลแต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น อยู่ดี ๆ ไฟล์ก็วูบหายไปทั้งที่ปกติตั้งแต่มาทำงานก็ไม่เคยมีปัญหา มุขพยายามค้นหาทุกไดร์ฟที่คิดว่าไฟล์จะไปซ่อนอยู่แม้แต่ถังขยะแต่ก็ไม่มีค่ะ” เธอรีบอธิบายเหตุผลให้เขาทราบด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“คุณรู้หรือเปล่าว่าบริษัทเสียหายแค่ไหน ถ้าหากว่าไม่สามารถจัดการปัญหาได้ภายในวันนี้ รายงานจากฝ่ายไอทีบอกว่าต้องใช้เวลาแก้ไขสามวันจึงจะสามารถกู้ข้อมูลที่หายไปกลับคืนมาได้ ในขณะที่ตามแผนงานวันนี้เราต้องส่งสรุปงานให้ลูกค้าตรวจเช็คแล้วไปรับของที่ลูกค้าวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้สินค้าของลูกค้าต้องถึงคลังสินค้าที่ท่าเรือเพื่อเตรียมลงเรือแล้วออกเรือในวันมะรืน สินค้าครั้งนี้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงหลักร้อยล้าน แต่ตอนนี้บริษัทกลับไม่มีข้อมูลอะไรของลูกค้าและสินค้าที่ได้รับมาก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ไหนคุณตอบมาซิว่าจะชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังไง” เสียงเรียบนั้นกำลังสกัดกลั้นอารมณ์ไม่ให้เสียงดังและตะคอกออกมา อย่างน้อยความเป็นผู้นำก็หล่อหลอมให้ชายหนุ่มเป็นคนที่รับฟังเหตุผลของคนอื่น
พราวมุขขบเม้มริมฝีปากบางของเธอเพื่อสกัดกลั้นเสียงร้องไห้ แม้ว่าตอนนี้น้ำตาจะนำทางหลั่งออกมาเป็นทางเต็มใบหน้าแล้วก็ตาม
โภไคยถือโอกาสพิจารณาคนตรงหน้อีกครั้ง ถึงจะอยู่ในอารมณ์โกรธจนแทบอยากจะหักคอหญิงสาวแค่ไหนแต่เขาก็รู้สึกขัดตาขัดใจนักเมื่อเห็นริมฝีปากสีสดนั้นถูกเจ้าของเม้มเข้าหากันแน่นจนเขากลัวว่ามันจะเจ็บและบอบช้ำ
“มุขไม่รู้จริง ๆ ค่ะนายใหญ่ว่าจะชดใช้ยังไงให้สมกับความเสียหายที่เกิดขึ้น และมุขก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ด้วย” เสียงสะอื้นบอกทั้งน้ำตา สายตาแห่งความเสียใจถูกส่งไปให้คนที่เป็นนายใหญ่หวังว่าเขาจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
“ทุกครั้งที่มีคนทำผิดและทุกครั้งที่เกิดข้อผิดพลาด ย่อมต้องมีคนรับผิดชอบคุณทราบดีใช่มั้ย” น้ำเสียงที่เรียบเรื่อยนั้นให้ความรู้สึกที่อันตรายแบบที่พราวมุขเองก็บอกไม่ถูก
“ทราบค่ะ”
“แล้วคุณจะชดใช้ยังไงไหนบอกมาซิ” ร่างสูงเอนตัวพิงเก้าอี้ มือทั้งสองที่ประสานบนตักคลายออกจากกันแล้วเปลี่ยนท่ามาเท้าศอกข้างหนึ่งกับพนักเก้าอี้ มือข้างเดียวกันจับคางทำท่าครุ่นคิดไปพร้อม ๆ กับรอฟังคำตอบของพนักงานสาว
“มุขแล้วแต่นายใหญ่ค่ะว่าจะให้ชดใช้ยังไง เพราะมุขไม่รู้จริง ๆ ว่าจะชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ยังไง” เธอตอบไปตามจริง หวังว่าเขาจะเข้าใจว่าเธอไม่มีเงินที่จะมาชดใช้และก็ทำใจแล้วว่าจุดจบของเธอก็คือต้องโดนไล่ออก
“หึ..คุณคงคิดสินะว่าความผิดคุณครั้งนี้อย่างมากก็โดนไล่ออกแล้วทุกอย่างก็จบ..แต่คุณคิดผิด เพราะผมจะยังไม่ไล่คุณออกจนกว่าคุณจะชดใช้เป็นตัวเงินเท่ากับเงินที่บริษัทต้องเสียให้กับลูกค้าเพราะไม่สามารถดำเนินการตามที่ตกลงกันไว้ได้ รวมถึงค่าเสียหายจากรายได้ที่บริษัทจะได้ในครั้งนี้รวมแล้วก็ประมาณห้าสิบล้าน และผมมีเวลาให้คุณหนึ่งอาทิตย์ในการหาเงินมาชดใช้” ท่าทางจริงจังของเจ้านายทำเอาพราวมุขถึงกับแทบเข่าทรุด อย่าว่าแต่หาเงินมาชดใช้บริษัทเลย แม้แต่เงินจะกินจะใช้เธอยังแทบเลือดตากระเด็น หวังว่าเงินเดือนที่จะออกในอีกสองวันที่จะถึงนี้จะสามารต่อชีวิตเธอไปได้ แล้วจะหาเงินห้าสิบล้านที่ไหนมาชดใช้ตามที่เขาบอก
“นายใหญ่คะมุขไม่มีเงินขนาดนั้น นายใหญ่ให้มุขชดใช้ด้วยวิธีอื่นได้หรือเปล่าคะ จะหักเงินเดือนมุขหรืออะไรก็ได้ แต่จะให้หาเงินเป็นสิบ ๆ ล้านมาภายในเจ็ดวันมุขหาไม่ได้จริง ๆ ค่ะ” เฮบอกเขาแบบไม่ขอเวลาคิด เพราะต่อให้ขอเวลาไปคิดหรือต่อให้เขาให้เวลาเธอหาเงินเธอก็ไม่มีทางหาได้อยู่ดี
“เธอแน่ใจเหรอพราวมุขว่าให้ฉันเป็นคนเลือกทางออกให้กับเธอ” เสียงที่เย็นชาพร้อมแววตาแบบเดียวกันนั้นทำเอาหญิงสาวแอบกังวลลึก ๆ คล้ายกับว่าเธอกำลังจะเจอทางออกที่น่ากลัว
“ถ้ามันไม่ใช่ให้มุขไปหาเงินห้าสิบล้านภายในเจ็ดวัน ไม่ว่าจะทางไหนมุขก็ยินดีที่จะชดใช้ให้นายใหญ่ค่ะ” สายตาที่คมกริบหรี่มองหญิงสาวนิ่งเหมือนกำลังประเมินบางอย่างในตัวเธอ สายตาลึกล้ำจับจ้องอยู่ที่ใบหน้างามอยู่นานโดยไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมา
การกระทำของชายหนุ่มสร้างความกดดันให้หญิงสาวไม่น้อยจนเกือบตัดสินใจถามในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการอีกครั้งแต่ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องเลือก ว่าจะชดใช้ความเสียหายเป็นตัวเงิน..หรือตัวเธอ” สรรพนามที่เปลี่ยนไปพร้อมทางเลือกที่โภไคยเสนอให้ทำเอาพราวมุขแทบทรุดลงไปกองกับกับพื้นเพราะตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
