บทที่ 4
จิรัฎฐ์ได้แต่นั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของเขาภายในบ้านตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ซึ่งเป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมงกว่าๆ เขายังไม่ได้ลุกเดินไปไหนแม้แต่น้อย งานที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็ไม่ได้คืบหน้าเพราะมัวแต่คิดว่าวันนี้พาขวัญกำลังจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว
ปึง!! เสียงทุบกำปั้นระบายความอึดอัดในใจ เพราะคำพูดที่ได้ยินเมื่อเช้าจากปากของบิดา
‘คุณพ่อพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงครับ’ จิรัฎฐ์พยายามถามด้วยน้ำเสียงเยือกอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ภายในใจ
‘พาขวัญจะมาช่วยฉันทำงานเป็นเลขาแทนคุณจงจิตที่ลาออกไป’ ผู้เป็นบิดากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
‘ผมไม่ยอม! นี่พอถึงกับยกให้ผู้หญิงคนนี้มาอยู่ข้างๆ ไม่ออกหน้าไปหน่อยหรือไงครับ’ ชายหนุ่มตอบผู้เป็นบิดาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งแต่หากใจเขานั้นจ้องโกรธแค้นหญิงสาวเป็นเท่าตัว
‘แกอย่ามาพูดจาแบบนี้กับฉันนะ!’ หม่อมหลวงณรงค์ฤทธิ์เริ่มขึ้นเสียงดุบุตรชายด้วยความไม่ชอบใจ
‘ทำไมครับ หรือว่าแทงใจจนเกินไป ที่ผมพูดมาเป็นความจริง’
‘เจ้าเพลิง!’ ผู้เป็นบิดาได้แต่มองหน้าของบุตรชายหน้าดำหน้าเขียวด้วยความโกรธ ก่อนลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะอาหารโดยที่แตะอาหารเช้าเพียง สามถึงสี่คำเท่านั้น
ชายหนุ่มเอนแผ่นหลังพิงกับพนักเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง แต่ทว่าเสียงเคาะประตูดังขึ้นรบกวนเขาอีกครั้งหนึ่ง
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
“มีอะไร”
“คือ...คุณพาขวัญมาถึงแล้วค่ะ จะให้สายแก้วไปเรียกเธอมาพบไหมคะ” จิรัฎฐ์ลุกขึ้นนั่งด้วยท่าปกติ พลางมองสาวใช้ตรงหน้าก่อนจะตอบกลับไป
“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันออกไปต้อนรับเอง”
“ค่ะ” สายแก้วยิ้มเขินๆ รับคำก่อนจะหมุนตัวเดินไปจากห้อง แต่ ชายหนุ่มกลับถามคำถามอีกหนึ่งคำถามขึ้นมา
“แล้วพ่อของฉันล่ะ?”
“คุณผู้ชายเดินออกไปต้อนรับคุณพาขวัญตั้งแต่ที่รู้ว่ามาถึงแล้วค่ะ”
“ขอบใจ” จิรัฎฐ์เอ่ยขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานของเขา พลางมองสายแก้วที่เดินออกจากห้องไป ไม่เคยรู้ว่าเขาโกรธและเกลียดใครเท่าพาขวัญมาก่อนเลย บิดาเขาถึงกับออกไปต้อนรับกับแค่ผู้หญิงที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนนี้เข้าบ้าน
“เธอจะไม่มีวันที่อยู่ในบ้านหลังนี้อย่างมีความสุข พาขวัญ เพราะฉันจะทำให้เธอตกนรกทั้งเป็น!”
ของใช้และกระเป๋าทั้งหมดถูกขนย้ายลงจากหลังรถในเวลาเพียงไม่กี่นาที พาขวัญรู้สึกเกรงใจสาวใช้ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอที่มาช่วยยกขนของ หญิงสาวหันไปได้พอดีจังหวะที่หม่อมหลวงณรงค์ฤทธิ์เดินลงมาจากบันไดพร้อมกับรอยยิ้มต้อนรับเธออย่างอบอุ่น
“สวัสดีค่ะคุณลุง” เธอกล่าวพร้อมยกมือขึ้นไหว้
“ลุงจัดห้องเตรียมเอาไว้ให้แล้วละ หวังว่าหนูจีนคงจะชอบนะ”
“จีนอยู่ได้หมดค่ะ แค่ลุงให้จีนมาอยู่แบบนี้ก็เกรงใจแล้วละค่ะ” พาขวัญตอบพร้อมยิ้มให้กับชายหนุ่มสูงวัย
“งั้นเข้าบ้านกัน” หม่อมหลวงณรงค์ฤทธิ์เอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินนำหน้าเข้าไปในบ้านคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ทั้งชีวิตผู้หญิงอย่างพาขวัญไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาเห็นกับตาแล้ว
สาวใช้สามคนที่ช่วยกันขนของตามเธอและหม่อมหลวงณรงค์ฤทธิ์ขึ้นบันไดมา ห้องของเธออยู่ทางด้านขวามือริมสุดห้องสุดท้าย หญิงสาวเดินตามไปพลางหมุนคอมองดูรอบๆ จนถึงหน้าห้องของเธอ สาวใช้คนที่ถือกระเป๋าใบเล็กของเธอเดินเข้ามาเปิดประตูห้องออกพร้อมกับวางของลงไว้กลางห้อง โดยที่คนอื่นๆ ก็ตามเข้ามา เมื่อวางไว้เสร็จแล้วก็พากันเดินออกไป
พาขวัญมองรอบๆ ห้องก่อนที่จะเดินก้าวเข้าไปในห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงครบทุกอย่าง หญิงสาวหันมามองหม่อมหลวงณรงค์ฤทธิ์ที่ยิ้มให้กับเธอ
“คือว่า...มันไม่ใหญ่ไปหน่อยเหรอคะ”
“ไม่หรอก อยู่ไปเดี๋ยวก็ชินเองแหละ”
“แต่ว่า...”
“เอาเป็นว่าลุงเต็มใจให้ละกัน อย่าปฏิเสธลุงเลยนะ” หม่อมหลวง- ณรงค์ฤทธิ์พูดก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปทิ้งให้หญิงสาวอยู่เพียงลำพัง
พาขวัญมองไปรอบๆ ห้องสีขาวขนาดใหญ่กว่าหอพักที่เธอเคยอยู่เป็นสิบเท่าตัว มีทั้งตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ เฟอร์นิเจอร์ที่เธอเคยเห็นแต่ในละครทีวี แต่ไม่เคยได้เห็นกับตาตัวเองสักที
สองเท้าก้าวเดินไปรอบๆ ห้อง พลางเดินหยิบเก็บของจัดเข้าตามชั้น ตู้พวกนี้เยอะเกินไปสำหรับเธอ ของเธอใส่เข้าตู้ทั้งหมดแล้วยังไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ
กระเป๋าเสื้อผ้าถูกหยิบมาวางหน้าตู้เสื้อผ้าสีน้ำตาลขนาดใหญ่เรียงติดกันสามตอน ซึ่งดูจากเสื้อผ้าในกระเป๋าของเธอแล้วยังใส่ตู้แรกได้อีกเยอะสบายๆ เลย
ชุดของเธอน้อยเกินไปหรือว่าตู้เสื้อผ้าใหญ่เกินไปนะ
ของใช้ของเธอไม่เยอะมากมายจึงใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงในการจัดเก็บเข้าชั้นต่างๆ ให้เรียบร้อย พาขวัญเดินขึ้นมานั่งลงที่ปลายเตียงก่อนจะหยิบรูปขึ้นมาวางบนโต๊ะข้างหัวเตียง พลางมองมารดาในรูปด้วยความรัก
“จีนรู้แม่อาจจะไม่สบายใจที่จีนมาอยู่แบบนี้ แต่จีนไม่อยู่ที่นี่ไปตลอดหรอกค่ะ ถ้าจีนมีเงินพอ จีนจะย้ายออกทันทีนะคะ” ไม่ใช่แค่มารดาของเธอไม่สบายใจ เธอเองก็ไม่สบายใจเช่นเดียวกันที่ต้องมาอยู่ในที่ใหญ่โตแบบนี้ ความคุ้นเคยต่างก็ไม่มี ที่สำคัญเธอไม่อยากมาเจอเขา
พาขวัญลุกขึ้นเดินออกจากห้องนอนด้วยความเบื่อหลังจากที่นั่งอยู่ในห้องนานถึงสามชั่วโมง จนตอนนี้ก็เกือบบ่ายสี่โมงแล้ว เป็นโชคดีของเธอที่ไม่ต้องมาเจอกับจิรัฎฐ์ เพราะเขาเองท่าจะไม่ชอบเธอถึงขั้นรังเกียจเลยก็ว่าได้
สองเท้าก้าวไปอย่างไร้จุดหมาย ดวงตากลมมองรอบๆ ตัวบ้านและเฟอร์นิเจอร์ในชั้นสอง ก่อนจะก้าวลงบันไดไปเดินสำรวจทั่วบ้านอย่างชื่นชมพลางถอนหายใจออกมา ชีวิตนี้เธออยากจะมีบ้านแบบนี้สักหลัง คงต้องตอนสักอายุ สี่สิบห้าสิบละมั้งกว่าเธอจะสร้างเนื้อสร้างตัวได้
“ดูท่าทางมีความสุขมากสินะ”
