ตอนที่ 6 ความจริงที่จริงที่สุด
‘วันนี้ทำไมถึงง่วง’ หญิงสาวปิดปากหาว ยกมือขึ้นมากอดอก
ตั้งแต่เธอตกงาน เธอแทบจะนอนไม่หลับเลย กลายเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ คีรยากำลังคิดว่า เธออาจจะเป็นโรคซึมเศร้า ไม่รู้เป็นหรือยัง เธอไม่กล้าไปหาหมอ ได้แต่ศึกษาและรักษาตัวเองจากบทความที่เธออ่านในอินเทอร์เน็ตว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร
‘วันนี้ทำไมเธอรู้สึกง่วงจัง’
คีรยาพิงหลังไปกับกระจก เธอเลือกที่จะเปิดเพลง แล้วหลับตาลง การที่เธอต้องสู้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไม่มีสมาชิกในครอบครัวหลงเหลืออยู่ หญิงสาวจึงเหลือเพียงตัวคนเดียว และใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง
ใจยังคงนึกไปถึงเพื่อนรักของตัวเอง ปันฐิตาเป็นเพื่อนคนเดียวที่อยู่เคียงข้างกันในทุก ๆ สถานการณ์ของชีวิต ซึ่งเธอคิดว่า เธอจะอยู่เคียงข้างเพื่อนคนนี้ด้วยเช่นกัน เป็นสัญญามั่นที่ทั้งสองคนเคยให้กันเอาไว้
คีรยาที่ขาดพ่อและแม่ และคีรยาได้มารู้จักกับคุณนายชวนชม ได้รับความเมตตาจากท่าน ก็ทำให้เธออุ่นใจ และหายคิดถึงแม่ที่จากไปได้บ้าง แต่ก็นั่นแหละท่านเพียงเอ็นดูในฐานะคนรู้จัก ก็ไม่เหมือนแม่แท้ ๆ ของตัวเอง
แต่เมื่อนึกถึงสายตาของลูกชายของคุณนายชวนชม ที่เป็นสามีของเพื่อน ซึ่งเขาก็เดียดฉันท์เธอมาก และที่โต๊ะอาหารค่ำ สายตาคู่นั้นของไพรภูมิไม่ได้ชื่นชมพอใจ ที่เธอได้ไปรู้จักมักจี่กับแม่ของเขา ก็คงจะต้องทำตัวเองให้ห่างออกมาจากท่าน
คีรยาไม่รู้เลยว่าการกระทำของเธอตกอยู่ในสายตาของใครบางคน
เคร้ง... เศษเหรียญสี่ห้าเหรียญถูกโยนลงมาต่อหน้าของคีรยาเธอจึงกะพริบแล้วลืมตาขึ้นมามองว่า ใครทำอะไรร่วงหล่นมาตรงหน้า แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นสายตาดูถูกของไพรภูมิ เธอถึงกับผงะหน้าเหวอ ก่อนจะถลันนั่งตัวตรง
“งานพิเศษอีกอย่างหนึ่งเหรอ นอกจากจะไปขูดขอกับเมียของฉัน และสอพลอกับคุณแม่ เธอยังมาขอทานอีก อะไรกัน ยังไม่พอกินอีกใช่ไหม ฮึ-ฮึ ถึงได้มานั่งตรงนี้อีก ไม่ได้ยอมกลับบ้านกลับช่อง นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
คีรยามองสบตากับสายตาดูถูกของเขาด้วยความเจ็บอกเจ็บใจ “มันจะเกินไปแล้วนะคุณ ปากร้ายมาก ๆ”
“ฉันก็พูดตามที่เห็น เธอนั่งเหมือนขอทานที่หน้าเซเว่นถ้าไม่มีขอทาน ก็หมาเท่านั้นที่นั่งแถว ๆ นี้”
สองมือของคีรยากำหมัดแน่น “ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ ฉันไม่ได้ไปนั่งอยู่บนหัวของคุณสักหน่อย แล้วมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ ว่างมากหรือไงคะ ถึงฉันจะทำอะไร มันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับคุณสักหน่อย ไปให้พ้นหน้าค่ะ”
“เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยว เพราะถ้าเธอยังไม่เลิกยุ่งกับปันและแม่ของฉัน” สายตามุ่งร้าย
คีรยาถึงกับกลืนน้ำลาย เธอไม่เข้าใจเลยทำไมไพรภูมิจงเกลียดจงชังเธอนักหนา “คุณกรุณาไปบอกคุณแม่ของคุณ แล้วก็บอกปันจะดีกว่าค่ะ ว่าให้ทั้งสองคนเลิกยุ่งกับฉัน ถ้าเขาสองคนเลิกยุ่งกับฉัน ฉันก็จะเลิกยุ่งกับพวกเขา”
“อ้อ... คิดว่าถือไพ่เหนือกว่าหรือยังไง ปันกับคุณแม่ไม่ทันพวกตอแหล ลิ้นเลียแผล็บ ๆ แบบเธอหรอก พวกปลิง เหลือบไร ตัวเรือดที่คอยหาผลประโยชน์จากความรักและหวังดีของคนอื่น”
“นี่คุณพูดเกินไปแล้วนะคะ” เธอลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับเขา สายตาของคีรยามองกลับไพรภูมิอย่างไม่พอใจ
“อย่ามาดูถูกกัน ฉันก็เป็นคนมีศักดิ์ศรีเหมือนกันกับคุณ อย่ามายัดเยียดความคิดแปลกประหลาดบ้าบอ มากล่าวหาฉันแบบนี้ หัดมองคนอื่นในแง่ที่ดีบ้างนะคะ สมองและหัวใจของคุณจะได้ปลอดโปร่งโล่งดี ไม่ได้หน้ามู่ทู่แบบนี้ทั้งวัน ความคิดลบทำให้คุณหน้าตาไม่ผ่องใส และหน้าย่นยับค่ะ” คีรยาต่อว่าเขาออกมาเป็นชุด
“เหรอ แต่เท่าที่ฉันเห็น เธอเป็นแบบนั้นนะ”
“นั่นมันก็ช่าง เรื่องของคุณ แต่ถ้าเกลียดกันนัก ก็อย่ามาหาเรื่องคุย อีกอย่างมันแล้วแต่คุณเลยค่ะ ถ้าคุณคิดแบบนี้แล้วคุณสบายใจ ก็เชิญ แต่คุณอย่ามาใกล้ เฉียด หรือว่ามาพูดจาให้ระคายหู”
“ฉันจะหยุดหาเรื่องเธอก็ได้ ถ้าเธอไม่ไปเหยียบที่บ้านของฉันอีก” เขาพูดกร้าว
นัยน์ตาของคีรยาไหวระริก น้ำตาเริ่มเออท้นท่วมข้างใน หัวใจปวดร้าวไปหมด ตรงที่เธออยู่ด้านหน้ามีมอเตอร์ไซค์จอดขวางอยู่หลายคัน ที่ไพรภูมิยืนเป็นทางเดียวที่เธอจะออกไปจากตรงนั้นได้ คีรยาจึงใช้มือของเธอผลักไปที่หน้าอกของเขา
ไพรภูมินอกจากไม่เบี่ยงตัวให้ เขายังจับมือของเธอแล้วบีบแน่น เขาดึงร่างบางที่สั่นสะท้านเข้ามาปะทะที่แผงอก ชายหนุ่มก้มลงไปพูดใกล้หู
“เธอมันผู้หญิงไร้ค่า เทียบไม่ได้กับปันเลยสักนิด”
คีรยาสะอึก “ถ้าฉันไร้ค่าก็โปรดปล่อย โอ้ย!” หญิงสาวอุทานออกมาเบา ๆ เพราะแรงมือของเขาที่บีบแรง
“คนอย่างเธอมันเป็นพวกชอบหักหลัง”
“นี่คุณ ฉันเริ่มจะเข้าใจแล้ว การพูดคุยกับคนที่พูดไม่รู้เรื่อง มีค่าเท่ากับศูนย์ ดีไม่ดี อาจจะติดลบซะด้วยซ้ำ เพราะทัศนคติของคุณมันบิดเบี้ยว ปล่อย...” เธอหมุนข้อมือของตัวเอง แต่เขาก็ยังบีบจับลงน้ำหนัก
“คุณเป็นคนบ้า คุณไม่เคยคิดดีกับฉัน”
“รู้ตัวก็ดีแล้วนี่” บีบมือและแขนของเธอแน่นจนใบหน้าของคีรยาเหยเก
“ปล่อยฉัน แล้วเลิกตอแยกับฉันเสียที”
“เธอยังจะไปไหนไม่ได้ เพราะฉันยังพูดไม่จบ”
“แต่ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว ช่วยปล่อยมือของฉันด้วย”
“ฉันไม่อยากจะแตะต้องเธอนักหรอก” เขาเป็นฝ่ายสะบัดมือของเธอทิ้ง เพราะใบหน้าของหญิงสาวที่ร้อนแดง และคนที่เพิ่งมาจอดมอเตอร์ไซค์อยู่ไม่ห่างนักเริ่มจ้องมองมา
สายตาของไพรภูมิยังคงแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์ไม่เลิก เขามองเธอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า “ฉันขอความกรุณาเธอให้พาตัวเองออกไปจากชีวิตของฉันกับปันเสียที ไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน”
“คุณมาตีค่าความเป็นเพื่อนของฉันกับปันผิดไปค่ะ ปันเป็นเพื่อนของฉัน เป็นเพื่อนที่รักมากที่สุด”
“เพื่อนรักอย่างนั้นหรือ เพื่อนรักอะไรกัน ปันยังไม่รู้ว่าเธอน่ะอยากจะแซ่บกับแฟนของเพื่อน”
“คุณเชนคะ เรื่องวันนั้นคุณเมามาก และคุณเองเป็นคนดึงฉันเข้าไปกอดและจูบ”
“ทุเรศ เธอมันเป็นผู้หญิงแสนทุเรศ”
“หึ... เป็นฉันต่างหากที่ควรจะโกรธคุณ ที่คุณมาลวนลามฉัน แต่ก็เอาเถอะ ฉันไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีก เรื่องนี้มันผ่านไปตั้งสี่ปีแล้ว คุณก็ควรจะลืมมันไปเสีย ไหนคุณบอกว่าเนื้อตัวของฉันสกปรก คุณก็ไม่ควรจดจำผู้หญิงที่สกปรกแบบฉันให้มันรกสมอง หรือว่ารสจูบของฉัน มันทำให้คุณลืมไม่ลงกันแน่คะ” ท้ายสุดก็พูดออกไปจากหัวใจ เพราะเธอเองก็ไม่เคยลืมรสจูบที่ซ่านใจของไพรภูมิ
