ตอนที่ 11
“เรียนจบอะไรมารคะ”
หนึ่งธิดาเม้มปากแน่น
“มัธยมปลายค่ะ”
“ความรู้แค่นี้จะหางานดี ๆ ที่ไหนได้ค่ะ อยู่ที่นี่แหละค่ะ ไม่มีค่าใช้จ่าย หากว่าคุณต้องการเงินหรืออะไรไว้รอขอจากนายหัวเองก็แล้วกันนะคะ”
“แต่ว่า..”
หนึ่งธิดาพยายามจะเรียกสัญจิตาที่หันหลังเดินจากไป
“ใจดำ คนบ้านนี้ใจอำมหิตเหมือนกัน ฉันไม่อยากอยู่ ได้ยินไหม ฉันไม่อยากอยู่”
หนึ่งธิดาตะโกนไล่หลังแล้วเตรียมวิ่งหนี
“อย่าไปนะคะ คนที่นี่ยังไม่มีใครรู้จักคุณ เชื่อที่นายหัวพูดเถอะค่ะ ผู้ชายที่นี่มันยังไม่เจอผู้หญิงมาเป็นเดือน คุณจะได้รับอันตรายนะคะ”
สัญจิตาพูดจบนุ้ย ที่ถูกส่งมาให้เป็นสาวใช้ส่วนตัวของเธอเดินออกมาหาเพื่อนำทางเธอไปยังห้องพัก ที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังถัดไปทางปีกขวา ซึ่งห้องนั้นสามารถมองเห็นท้องทะเลได้ แต่คำพูดของสัญจิตาหรือจะทำให้หนึ่งธิดากลัว เธอคิดว่ามันเป็นแค่คำขู่เท่านั้น
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็วิ่งลงจากเรือนแล้วพยายามวิ่งให้แล้วที่สุดเพื่อจะหนีไปให้ไกล เธอวิ่งไปตามถนนที่มองเห็นโดยไม่สนใจและไม่รู้ว่าถนนที่เห็นอยู่นั้นมันไปที่ใด
“โทรบอกนายหัวเร็ว”
สัญจิตารีบร้องบอก นุ้ยก็รีบกดโทรศัพท์หากันต์ธัสทันที
หนึ่งธิดาวิ่งออกมาจากเรือนไทยหลังใหญ่โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง เธอรู้เพียงอย่างเดียวว่าจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ จะต้องออกไปให้พ้นจากอิทธิพลของกันต์ธัส หากว่าเธอออกไปจากที่นี่ได้เธอจะตามหาใครคนหนึ่งที่เขาเคยบอกเธอว่าเขาอยู่ที่นี่ เมื่อนั้นเธอจะปลอดภัย
เมื่อความตั้งใจเป็นอย่างนั้นทำให้หนึ่งธิดาพยายามที่จะวิ่งออกมาอย่างไม่คิดจะหันกลังกลับ เธอเลยไม่รูว่าเส้นทางที่เธอวิ่งมานั้นมันผ่านอะไรมาบ้าง และแน่นอนว่าทันทีที่กันต์ธัสรู้ว่าเธอหนี ความตั้งใจของเขาคือหนามยอกเอาหนามบ่ง เขาจะต้องสอนบทเรียนให้เธอจดจำ
หลังจากที่หนึ่งธิดาหลับหูหลับตาวิ่งออกมาได้สักพัก เธอก็เริ่มผ่อนฝีเท้าลงเพราะรู้สึกว่าไม่มีใครตามมา เธอหยุดมองกลับหลังให้แน่ใจแล้วค่อย ๆ ทรุดกายลงนั่งด้วยความเหนื่อยล้า แต่ว่าความรู้สึกปลอดโปร่งมันวิ่งเข้าชนเธอได้ไม่นานเนื่องจาก เส้นทางเบื้องหน้าของเธอเป็นทะเลกว้างมองไกลสุดสายตา และเวิ้งว้างเงียบสงัดไม่มีผู้คนให้เห็นเลย
ครั้นพอเธอเหลียวมองไปด้านข้างก็เป็นสวนปาล์มมากมาย เธอเดินเรื่อยไปตามเส้นทางที่แคบลง ๆ จนสุดท้ายมันเป็นเหมือนโกดังขนาดใหญ่ที่ไม่มีวี่แววของผู้คนหรือสิ่งมีชีวิต
“แล้วทางที่นายหน้าดุนั่นพาเรามา มันมาจากทางไหนกันนะ มันน่าจะมีทางออกไปสู่ถนนใหญ่หรือตัวเมืองไม่ใช่หรือ!”
หนึ่งธิดาเริ่มมีความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา และยิ่งเธอนึกถึงคำพูดของกันต์ธัสก็ทำให้เริ่มกลัวว่าจะมีชายป่าเถื่อนนับร้อยที่ไม่เคยเห็นเธอแล้วคิดว่าเธอหลงทางเข้ามาหาพวกเขา
“คุณสร คุณอยู่ไหนคะ คุณสร คุณบอกว่าคุณอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ คุณอยู่ไหน ช่วยหนึ่งด้วย ช่วยด้วย”
หนึ่งธิดาเฝ้าภาวนาอยู่ในใจแล้วก็ค่อย ๆ หันหลังหมายจะเดินกลับมาทางเดิมเพราะที่ผ่านมาเธอหวังว่ามันจะต้องมีทางแยกตรงไหนสักที่ที่เธอไม่ทันได้สังเกต
“คุณสร ช่วยหนึ่งด้วยนะ”
เธอยังคงนึกถึงชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่เธอคิดว่าเขาคือรักแรกของเธอ และเขาคือคนที่รักเธอ เขาคือคนรักของเธอ เพราะเขาคือชายหนุ่มที่เข้าใจเธอมากที่สุดคนหนึ่งและรู้จักกันมาตั้งแต่เธอเริ่มเข้าเรียนมัธยมปีที่สี่ ส่วนเขาคนนั้นก็เรียนในระดับมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย
และเธอกับเขาคนนั้นก็คุ้นเคยกันเรื่อยมาสนิทสนมพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่มาห่างกันตรงที่เมื่อเขาเรียนจบกลับมาบ้านที่ภาคใต้ นานครั้งเธอถึงจะได้พบเขาแต่ก็ได้โทรคุยกันตลอดมา
หนึ่งธิดาหันหลังออกมาจากทางเข้าโกดังร้าง หมายจะหาเส้นทางอีกเส้นหนึ่งที่แยกออกไปยังตัวเมือง แต่ทว่าเพียงแค่เธอหันหลังกลับ หัวใจของเธอก็แทบหยุดเต้นเมื่อมองเห็นชายผิวคล้ำร่างกำยำสูงใหญ่ ยืนรายล้อมมองตรงมาหาเธอ
“โอ๊ะ!คุณพระช่วย”
หนึ่งธิดาถึงกับผงะหน้าเผือดซีด เธอถอยหลังกรูดพร้อมกับเหลียวมองหาเครื่องทุ่นแรง เธอคว้าได้กิ่งไม้แห้งท่อนหนึ่งก็หยิบมาถือไว้ในท่าเตรียม เท้าก็ก้าวถอย จนสะดุดเสียหลักล้มลง ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นที่มีเกือบสิบก็ก้าวเข้ามาหาเธออย่างช้า ๆ
“ออกไปนะ ไปให้พ้น ไป”
หนึ่งธิดาร้องลั่นพร้อมกับรีบยันกายลุกขึ้นและเตรียมพร้อมจะวิ่งแต่เธอก็ช้ากว่าเมื่อชายฉกรรจ์จำนวนนั้นกระจายกันออกรายล้อมเธอมีบางคนที่แกะกระดุมเสื้อแล้วส่งยิ้มให้เธอ
“จะไปไหนน้องสาว มาถึงที่นี่แล้ว อย่ารีบร้อนเลย พวกพี่มีหลายคน คงจะพอทำให้เธอสนุกครื้นเครงได้ทั้งคืน”
ชายคนที่ปลดกระดุมพูดเป็นสำเนียงใต้ที่เธอฟังไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็พอเดาได้ว่ามันต้องการอะไรเนื่องจากสายตาของมันที่กวาดมองเธอ
“ไม่ ไปนะ ไป ไป” หนึ่งธิดาร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวแล้วก็ตัดสินใจวิ่งหมายจะผ่านร่างของพวกมันออกไปแต่เธอก็ต้องสะดุดเมื่อหนึ่งในคนทั้งหมดยื่นขามาขวางทางเธอ ทำให้ร่างบางนั้นถลันคะมำไปเบื้องหน้าล้มลงอย่างไม่เป็นท่า แต่หนึ่งธิดาก็ยังไม่ยอมหยุดเธอตะเกียกตะกายลุกแล้ววิ่ง แต่หนึ่งในจำนวนทั้งหมดก็กระโดดมาขวางทางเธอไว้ เธอก็คว้าไม้หวดไปใส่แต่ไม้เจ้ากรรมก็ดันผุ ไม่เป็นดังใจของเธอที่นึกไว้
“อย่าเข้ามานะ ฉันมาที่นี่เพื่อแต่งงานกับนายหัว ฉันเป็นเมียเขา อย่าเข้ามา รู้จักเขาหรือเปล่าคุณกันต์ธัส รู้จักไหม”
หนึ่งธิดาตัดสินใจตะโกนออกไปเพราะหมายในใจว่าพวกคนเหล่านี้จะต้องกลัวเกรงหากว่าบริเวณนี้เป็นที่ของกันต์ธัส แต่เปล่าเลยพวกมันกลับไม่สนใจมิหนำซ้ำยังเดินดิ่งมาหาเธอที่ถอยหลังกรูด แล้วหมายจะกลับหลังวิ่ง แต่ร่างบางอรชรก็ต้องประทะเข้ากับใครอีกคนที่มีใบหน้าเหี้ยมเกรียมดุดันที่สุด แถมเครื่องหน้ายังเต็มไปด้วยหนวดเครา ผมหยิก ผิวดำร่างใหญ่โตอย่างน่ากลัว
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”
เธอร้องกรี๊ดสุดเสียงเพราะความตกใจจนร่างบางถลาล้มเธอยกมือปิดหน้าปิดตาแล้วร้องลั่นก่อนจะรีบคลานหนีเมื่อพวกมันพากันย่างสามขุมเข้ามาหา มีบางคนที่กระชากเสื้อของตนเองออกจนฉีกขาดเหมือนเตรียมพร้อม ทำให้เธอตัดสินใจวิ่งอีกครั้งแต่กลับมุ่งหน้าลงสู่ทะเลที่ไร้ผู้คน
พวกเขาทั้งหมดก็วิ่งไล่ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอเป็นคนที่วิ่งได้เร็วมาก หนึ่งธิดาพยายาม หนีอย่างไม่คิดชีวิต เธอวิ่งลัดเลาะตามชายหาด แต่เพราะพื้นเป็นทรายจึงไม่สามารถวิ่งได้เร็วนัก เธอจำต้องถอดรองเท้าทิ้งแล้ววิ่งด้วยเท้าเปล่า
“อยู่นั่น เร็ว”
เสียงใครคนหนึ่งที่ดังมาแต่ไกล ทำให้พวกมันรีบกระจายกันออกดักหน้าเธอ หนึ่งธิดาเห็นท่าไม่ดีเมื่อพวกมันล้อมเธอไว้อีกครั้งเธอจึงกระโดดลงสู่ทะเลแล้วว่ายน้ำออกไป เมื่อนั้นจึงทำให้พวกมันนึกถึงปัญหาที่ตามมา
“เรือ”
ใครคนหนึ่งกดสัญญาณเรียกเรือที่อยู่ห่างออกไปเป็นเรือเร็วให้รีบมาที่นั่นแล้วมุ่งหน้าไปยังร่างบางที่กำลังแหวกว่ายน้ำอย่างไม่สนใจว่าจะมุ่งหน้าไปที่ใดมันจะลึกขนาดไหน
รถที่ไปรับดนุสรณ์กับพาริภัคที่สนามบินแล่นมาถึงบริเวณบ้านในตอนบ่ายจัด ก็ทำให้ทั้งสองต่างงุนงงว่าทำไมวันนี้คนงานมากันเยอะแยะ
“แม่ครับมีอะไรหรือครับ”
ดนุสรณ์ร้องถามสัญจิตาแม่แท้ ๆ ของเขาเมื่อลงจากรถ ตามด้วยพาริภัคที่รีบตามดนุสรณ์เข้ามา แต่ภาพที่ทั้งสองได้เห็นคือร่างบางอรชรของหนึ่งธิดาที่เปียกโชกถูกมัดด้วยเชือก นอนนิ่งอยู่พื้นหญ้าหลังจากที่กลุ่มคนงานต่างเอาเรืออกแล้วลากเธอขึ้นเรือ แต่เธอก็ต่อสู้สุดฤทธิ์และพยายามแหวกว่ายลงสู่ทะเลลึกทำให้เธอเกือบเอาชีวิตไม่รอด
