44 กีดกัน
หมับ
“จะไปไหน” ชลธีว่าเสียงเรียบ พร้อมกับมือที่จับแขนเรียวแน่นไม่ปล่อย
“ข้าวจะกลับห้องค่ะ”
“ทำหน้าที่ของเธอเสร็จแล้วหรือไง”
“ถ้าพี่ธีร์หมายถึงข้าวเย็น ข้าวทำเสร็จแล้วค่ะ” พิมพกานต์เอ่ยตอบ โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าชลธีเลยสักนิด แต่ละอย่างที่เขาทำกับเธอ เธอรับมันไม่ได้เลยสักอย่างเดียว จนความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว...เธอรักคนที่ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของเธอแบบนี้ได้ยังไงกัน...
“ยังไปไม่ได้...ตามฉันมานี่” ว่าจบก็หยัดตัวลุกขึ้น ก่อนจะออกแรงดึงให้คนตัวเล็กเดินตามมาทันที
“ไปจัดอาหารมาเสิร์ฟ ถ้าฉันกินได้ เธอไปได้” เมื่อจูงมือเธอมาถึงห้องอาหารแล้ว ชลธีก็ว่าขึ้น
“งั้นพี่ธีร์ก็ช่วยปล่อยมือข้าวก่อนได้ไหมคะ” พิมพกานต์ว่าเสียงเบา พร้อมกับยกแขนที่ถูกเขาจับไว้ขึ้นมา
“ไปสิ” เห็นแบบนั้นมือที่จับอยู่ก็รีบปล่อยออกทันที ก่อนจะตีหน้านิ่งเดินไปนั่งรออยู่โต๊ะอาหาร
“แกงส้มชะอมกุ้งค่ะ” หลังจากเสิร์ฟข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมกับกับข้าวแล้ว พิมพกานต์ก็พูดขึ้น และสิ่งที่เธอพูดนั้นก็ทำให้สาวใช้ที่ยืนอยู่แถวนั้นได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก แม้หลายเดือนที่อยู่ด้วยกันจะรู้ถึงฝีมือในการทำอาหารของพิมพกานต์ดี
แต่แกงส้มชะอมกุ้งนี้...ถือว่าเป็นเมนูต้องห้ามของคุณธีร์เลยก็ว่าได้ ไม่สิ ไม่ใช่เมนูต้องห้ามชะอมต่างหากที่ต้องห้าม เพราะคุณธีร์ไม่ชอบ
“ว่าไงนะ” สายตาคมมองไปที่อาหารตรงหน้า ก่อนจะหันเงยขึ้นมองคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ จากที่ตั้งใจจะระเบิดอารมณ์ใส่ ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรอยแดงเถือกที่คอของเธอ
“แกงส้มชะอมกุ้งค่ะ วันนี้เป็นเมนูแกงส้มชะอมกุ้ง” เธอตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“ไปทำมาใหม่” ชลธีว่าขึ้นเสียงเรียบ ก่อนจะดันจานกับข้าวออก
“คะ?” ปกติไม่ว่าเธอจะทำอะไรเขาก็ทานหมด ทำไมวันนี้เขาถึงได้ปฏิเสธมัน...
“ไปทำมาใหม่” เสียงเข้มกดต่ำลงอีกครั้ง
“ข้าวขอเหตุผลด้วยค่ะ” ถ้าเขาชิมแล้วบอกว่ามันไม่ถูกปากเธอจะไม่ว่าเลยสักคำ แต่นี่เขาเพียงปรายตามองมันเท่านั้น...เธออุตส่าห์ตั้งใจทำสุดฝีมือ แม้หัวใจจะเจ็บปวดเพราะเขา แต่เขากลับพูดออกมาแบบนี้ เขาจะใจร้ายกับเธอไปถึงไหนกัน
“มันเหม็น ฉันไม่ชอบ”
“แต่พี่ธีร์ยังไม่ได้ลองทานดูเลยนะคะ”
“ไปทำมาใหม่ ถ้าไม่อยากให้ฉันโมโห” น้ำเสียงกดต่ำลงเรื่อย ๆ เมื่อเธอเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมทำตามที่เขาบอก
“พี่ธีร์ลองชิมดูก่อนได้ไหมคะ ถ้ามันเหม็น มันไม่อร่อยข้าวจะไปทำเมนูอื่นให้” พิมพกานต์ว่าขึ้น เพราะรู้ว่าเขากินยากและเลือกกิน เธอจึงค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งที่เธอทำเขาจะกินได้อย่างแน่นอน
“ถ้ามันเหม็นเธอโดนดีแน่” ชลธีว่าเสียงเรียบ แล้วดึงเอาถ้วยกับข้าวมาไว้ตรงหน้าตัวเองเหมือนเดิม ก่อนจะตักกับข้าวคำเล็ก ๆ ขึ้นมาชิม ตั้งแต่เด็กจนโตเขาเกลียดอาหารที่มีกลิ่นแรงที่สุด โดยเฉพาะชะอมที่กำลังกินอยู่นี่
“เป็นยังไงคะ เหม็นรึเปล่า” พิมพกานต์เอ่ยถามอย่างยิ้ม ๆ เธอมั่นใจเต็มร้อยว่ามันไม่เหม็น
“อืม” ชลธีตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะตักคำที่ใหญ่ขึ้น และมันก็ต้องทำให้เขาอึ้ง มันไม่ได้เหม็นเขียวจนทานไม่ได้ กลิ่นมันจาง จนแทบไม่ได้กลิ่น ยิ่งพอทานรวมกับพักอื่นในแกงส้มแล้วยิ่งอร่อยมากขึ้นไปอีก...ทำไมกัน ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้
“อร่อยใช่ไหมคะ”
“หึ ก็พอทานได้” ว่าจบก็หยักไหล่ขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะทำสีหน้าสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นกับแกงส้มถ้วยนี้
“สงสัยหรอคะ ว่าทำไมมันไม่มีกลิ่น” เพราะอยู่ด้วยกันมานาน ทุกครั้งที่เธอทำเมนูที่เขาเคยทานและไม่ชอบ เขามักจะถามหาเหตุผลเสมอว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น
“...” ชลธีเลือกที่จะไม่ตอบ แต่เขาหันมาตักอาหารตรงหน้าทานแทน ในเมื่อเธอก็รู้อยู่แล้ว เขาเพียงแค่รอฟังเท่านั้น
“ข้าวเลือกใส่แค่ยอดอ่อนค่ะ ใบอ่อน ๆ หรือส่วนใบที่ก้านมีหนามน้อย ถ้าใบที่ติดกับก้านที่มีหนามเยอะกลิ่นจะแรงกว่า”
“ตอนเด็ดเสร็จข้าวก็เอาไปล้างน้ำสะอาดเพื่อลดกลิ่นเพิ่มอีก ส่วนตอนทอดการใส่ไข่ลงไปจะช่วยลดกลิ่นค่ะ อ้อก่อนทอดใส่เกลือลงไปในกระทะก็ช่วยด้วย” พิมพกานต์ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้พูดคุยเรื่องอาหาร ทำให้หลงลืมความเจ็บปวดและความขุ่นเคืองที่มีต่อเขาไปชั่วขณะ
“ทีนี้ข้าวไปได้แล้วใช่ไหมคะ” เมื่อเห็นเขาเอาแต่ทาน ไม่ได้สนใจเธออีก พิมพกานต์ก็ว่าขึ้น เธออยากกลับไปอยู่ในห้องคนเดียวเงียบ ๆ แม้จะอยากขึ้นไปหาลูกมากกว่าก็ตาม
“จะไปไหนก็ไป” เมื่อเห็นเธออยากไปมากเขาก็ไม่อยากจะรั้งไว้ และหลังจากพูดเสร็จเขาก็เดินออกไปจากห้องอาหารทันที ไม่แม้แต่จะหันมองแกงส้มในถ้วยที่พร่องไปเพียงครึ่งเลยแม้แต่น้อย
เห็นชลธีเดินหนีไปอย่างไม่พอใจแบบนั้น พิมพกานต์ก็ตั้งใจจะเดินกับห้องของตัวเอง อย่างไม่นึกสนใจว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น ในตอนนี้เธออยากดูแลความรู้สึกตัวเองก่อน...ความรู้สึกที่ถูกเขาทำพังจนยับเยิน
และเมื่อต่างฝ่ายต่างอยู่กับความคิดของตัวเอง คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นมันถูกต้องแล้ว ก็ยิ่งทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งคู่นั้นมากขึ้น เป็นเหตุทำให้ใครอีกคนค่อย ๆ เข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทีละนิด
“ธีร์คะ ไอขอแวะดูร้านนี้หน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิ ผมรออยู่ข้างนอกนะ”
“อุ้มน้องภูผาเข้ามาด้วยก็ได้ค่ะ มีเสื้อผ้าเด็กด้วย ไอจะได้ดูให้ลูก” ไอริสว่าพร้อมกับปรายตามองใครอีกคนที่มาด้วยเล็กน้อย และสิ่งที่เธอพูดนั้นก็ทำให้พิมพกานต์ที่ยืนก้มหน้าเงียบๆ อยู่ใกล้ ๆ ต้องเงยขึ้นมอง ‘ดะ ดูให้ลูกงั้นหรอ’
“อืม เอาสิ” ชลธีที่อุ้มลูกชายอยู่ตอบรับ ก่อนจะเดินเข้าร้านตามไอริสไป
วันนี้ไอริสชวนชลธีออกมาช็อปเป็นเพื่อน ทำให้พิมพกานต์ได้ติดสร้อยห้อยตามมาเพราะชลธีพาลูกมาด้วย แม่อย่างพิมพกานต์ก็เลยต้องตามมาดูอยู่ห่าง ๆ อย่างสุดแสนจะห่วง เพราะเธอทำได้แค่นั้น ไม่อาจเข้าใกล้ลูกไปมากกว่านี้ได้
ส่วนความสัมพันธ์ของทั้งไอริสและชลธี ที่กลายมาเป็นแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะหลังจากวันนั้นที่ป้ามะลิให้ชลธีชวนไอริสมาทานข้าวที่บ้าน ทำให้ไอริสแวะเวียนมาบ่อย ๆ และยิ่งหลังจากพิมพกานต์คลอดลูก ภาพที่ทุกคนเห็นจนชินตาก็คือภาพที่ชลธีร่วมโต๊ะอาหารกับไอริสโดยมีพิมพกานต์เป็นคนทำและคอยดูแลคนทั้งคู่อยู่ข้าง ๆ ใบหน้าสวยหวานเรียบนิ่ง แต่ดวงตากลับเศร้าจนน่าใจหาย
และชลธีกับไอริสจะสนิทสนมกันมากขึ้นไม่ได้เลยหากระยะห่างกับพิมพกานต์และชลธีไม่มากขึ้น
“เมื่อไหร่ข้าวจะเข้มแข็งเหมือนอย่างคนอื่นเขาบ้างคะแม่บัว” พิมพกานต์ว่าเสียงเบา ก่อนจะต้องสะดุ้งตกใจเมื่ออยู่ ๆ ก็มีคนมาสะกิดที่หลัง
“ยัยแพร มายืนทำอะไรอยู่หน้าร้านไม่เดินเข้าไป”
“แล้วนี่แต่งตัวอะไรของแก” ว่าพร้อมกับไล่สายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“คุณคงจำคนผิดแล้วค่ะ ฉันไม่ได้ชื่อแพร แล้วฉันก็ไม่รู้จักคุณด้วย” พิมพกานต์ส่ายมือไปมาเพื่อปฏิเสธ
“จำผิดบ้าอะไร ฉันตัวติดกับแกจนจะเป็นตังเมอยู่แล้ว”
“วันนี้จะเล่นบทเป็นคุณหนูหนีออกจากบ้านว่างั้น ก็ได้ ๆ วันนี้ฉันจะทำเป็นไม่รู้จักแกวันนึง”
“แต่ถ้าคนของสามีแกตามเจอ ฉันไม่รู้ด้วยนะ” ว่าจบก็เดินเชิดหน้าไปทันที ทิ้งให้พิมพกานต์ได้แต่ยืนงงกับคำพูดของหญิงสาวแปลกหน้าที่แวะเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนม
“แพรหรอ...” พิมพกานต์พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมองเธอคนนั้นก็หายไปแล้ว
“จะเป็นไปได้ไหมนะ...” เป็นไปได้ไหมที่เธอจะมีฝาแฝด และผู้หญิงที่ชื่อแพรอะไรนั่น รวมถึงคนที่ทำให้พี่ชายของเขาประสบอุบัติเหตุจะเป็นฝาแฝดของเธอ
“ข้าวหอม!”
“คะ พะ พี่ธีร์ว่าไงนะคะ”
“ฉันเรียกเธอตั้งนานแล้วทำไมไม่ตอบ มัวแต่คิดอะไรอยู่” ชลธีว่าเสียงดุ เขาอุ้มลูกออกมาจากร้านตั้งนานแล้ว เธอก็ยังยืนนิ่ง ไม่สนใจเขากับลูกเลยแม้แต่น้อย
“เปล่าคะ ข้าวไม่ได้คิดอะไร”
“นี่” ถุงกระดาษสองถุงถูกยื่นให้หญิงสาวตรงหน้า
“คะ?” พิมพกานต์ทำหน้างงในทัน ก่อนจะเข้าใจเมื่อเขาพูดอธิบาย
“เสื้อผ้าลูก ถือไว้สิ ฉันอุ้มลูกอยู่ไม่เห็นรึไง”
“ค่ะ” มือบางรับเอาเสื้อผ้าของลูกที่เขาบอกมาถือไว้ พร้อมกับความรู้สึกปวดหน่วงในใจ...อันที่จริงเธอเองก็อยากเลือกของให้ลูก อยากซื้อของให้ลูกบ้าง... แต่เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะเขาคอยกันท่าอยู่ตลอด แถมเธอยังไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท...
ไม่สิ มีอยู่สองร้อยที่เหลือจากการซื้อของสดเข้าบ้านและป้ามะลิให้เก็บเอาไว้ ส่วนเงินที่เคยทำงานอยู่ที่เกาะเอื้องดาว เธอก็เก็บไว้ที่นั่น ไม่ได้เอามาด้วย...จะให้เอามาได้ยังไง ก็ในเมื่อตอนที่เธอเดินทางมาที่นี่ เธอไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ
“ทำไมมีชุดเสื้อผ้าผู้หญิงด้วยล่ะคะ...” หลังจากมองสำรวจของที่รับมาถือแล้วพิมพกานต์ก็ว่าขึ้น ก่อนจะเงียบปากลง เมื่อคิดว่ามันคงเป็นของคนรักของเขา
“ฉันซื้อให้เธอ”
“ซื้อให้ข้าวหรอคะ”
“มันลดราคาน่ะ” ว่าจบก็เดินเข้าไปหาไอริศที่ถือถุงกระดาษใบใหญ่ออกมาจากร้าน
“ไอได้เสื้อฝากน้องภูผาตั้งสามชุดแหนะ สวย ๆ ทั้งนั้นเลย เสียดายธีร์ออกมาก่อน”
“ไม่งั้นไอจะให้ธีร์ช่วยเลือกเสื้อผ้าให้ลูกอีก”
“ไว้วันหลังก็ได้” ชลธีว่าขึ้น เขาไม่อยากอยู่ในร้านนาน ๆ เพราะคนเยอะ เขาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แม้ว่าจะมีเสื้อผ้าเด็กสวย ๆ น่ารัก ๆ เหมาะกับลูกชายมากก็ตาม แต่ทว่าความรู้สึกที่ได้เลือกเสื้อผ้าให้ลูกกับไอริสนั้น มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เขาต้องการเลย...
“ค่ะ วันหลังก็วันหลัง” ว่าพร้อมกับส่งยิ้มให้ ก่อนจะส่งถุงกระดาษให้หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
“ไอฝากคุณข้าวถือได้ไหมคะ พอดีไอรู้สึกปวดข้อมือ”
“ของมันเยอะไอกลัวว่าข้อมือไอจะอักเสบ” เมื่อเห็นข้าวหอมยังนิ่ง เธอจึงพูดต่อ ทำให้ข้าวหอมยื่นมือมารับในที่สุด
ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าพิมพกานต์นั้นมีถุงกระดาษอยู่เต็มมือทั้งสองข้าง เหมือนว่าเธอเป็นคนรับใช้คอยถือของให้พวกเขาช็อปยังไงอย่างนั้น และก็เหมือนไอริสจะแกล้ง พอข้าวหอมยอมรับถุงเสื้อผ้าของตัวเองไปถือ เธอก็เข้าร้านนั้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น จนตอนนี้ทั้งตัวของข้าวหอมเต็มไปด้วยถุงกระดาษเสื้อผ้าของไอริสทั้งนั้น
มือบางยกขึ้นปาดเหงื่อเม็ดเล็กที่เกาะอยู่บนหน้า นานแล้วที่เธอไม่ได้เดินไปไหนมาไหนนาน ๆ แบบนี้ ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ และแม้ว่าในห้างจะมีเครื่องปรับอากาศแต่มันก็ไม่สามารถยับยั้งไม่ให้เหงื่อเธอไหลได้เลย
หลังจากเช็ดเหงื่อเสร็จแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองร้านหรูที่ไอริสและชลธีเข้าไปเลือกซื้อของกันพร้อมกับลูกชายตัวน้อยของเธอ ร้านหรูที่เธอไม่มีโอกาสได้เข้าไป ก้มลงมองการแต่งตัวของตัวเองแล้ว ก็ได้แต่ยิ้มเยาะให้ตัวเองในใจ เธอและไอริสนั้นต่างกันมาก ทั้งการศึกษาและฐานะ
ไม่แปลกเลยที่ชลธีจะเลือกไอริส เป็นเธอ เธอก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีกว่าให้ตัวเองอยู่แล้ว ดีกว่ามาคว้าเอาผู้หญิงบ้าน ๆ ที่เป็นต้นเหตุให้พี่ชายและพี่สะใภ้ของตัวเองตาย
...
“ให้นมลูกเสร็จก็ออกไปได้แล้ว” ชลธีว่าเสียงเรียบ พร้อมกับปรายตามองคนตัวเล็กที่ยืนหันหลังให้นมลูกอยู่
“ข้าวขอ...” ยังไม่ทันที่จะพูดจบเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำแล้ว
“ข้าวขออยู่เล่นกับลูกต่ออีกหน่อยได้ไหมคะ” พิมพกานต์ว่าเสียงเบา เพราะเขาคงจะไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด ถึงได้ยินก็ไม่รู้ว่าจะตอบรับคำขอร้องของเธอหรือไม่
“วันนี้กินเก่งจังเลยนะครับ ไปเดินห้างกับคุณพ่อมาเหนื่อยใช่ไหมครับ หืมม” นิ้วเรียวเขี่ยแก้มกลม ๆ ของลูกชายเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ หลังจากให้นมลูกเสร็จแล้ว เมื่อลูกชายยังไม่ง่วงเธอจึงพาลูกลงเตียงนอนเด็ก ก่อนเธอจะนั่งยืนเข่าที่พื้นคอยหยอกคอยเล่นด้วย ให้ลูกรู้สึกเหนื่อยและหลับไปเอง พร้อมทั้งอีกมือที่คอยตบก้นลูกเบา ๆ
“จ๊ะเอ๋”
“คิก ๆ”
“จ๊ะเอ๋ น้องภูผาอยู่ไหนน้าาาา”
“คิก ๆ” เมื่อถูกผู้เป็นแม่หยอกก็หัวเราะชอบใจใหญ่ พาให้ผู้เป็นพ่อที่เดินออกมาจากห้องแต่งตัวเผลอยิ้ม อย่างไม่รู้ตัว
“แม่รักภูผานะครับ” มือบางยกขึ้นลูบศีรษะน้อย ๆ ของลูกชายอย่างอ่อนโยน ส่งผ่านความรักความอบอุ่นไปให้ ด้านเด็กชายที่เคลิ้มใกล้หลับแล้ว ก็ได้แต่ยิ้มแช่งอวดฟันหลอให้ผู้เป็นแม่ดู เพราะตอนนี้ตนพึ่งสามเดือนเท่านั้น จะอวดฟันข้าวได้อย่างน้อย ๆ ก็ต้องหกเดือน
เมื่อลูกหลับไปแล้วพิมพกานต์ก็นั่งยืนเข่าลูบหัวลูกต่ออยู่อย่างนั้น ไม่ยอมลุกไปไหน นี่เป็นช่วงเวลาที่มีค่า ช่วงเวลาที่เธอได้ใกล้ชิดกับลูกโดยไร้พ่อของลูกคอยกีดกัน
“ออกไปได้แล้ว” ชลธีว่าเสียงเรียบ ก่อนจะเดินสาวเท้าเข้ามาหา หญิงสาวที่นั่งอยู่กับพื้น มองลูกน้อยในเตียงนอนเด็กไม่ละสายตาไปไหน
“ข้าวขออยู่กับลูกต่ออีกหน่อยได้ไหมคะ” หลังจากเขาเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เตียงลูก พิมพกานต์ก็ว่าขึ้น น้ำเสียงขอร้องอ้อนวอนเขา พร้อมกับแววตาไหวสั่น เธอขออยู่กับลูกต่ออีกหน่อย เธอขอแค่นี้ แค่นี้จริง ๆ หวังว่าเขาจะเห็นใจเธอบ้าง... การมีลูกแต่เหมือนไม่มีแบบนี้ ใจเธอมันจะขาดอยู่แล้ว
“อยู่ต่ออีกหน่อยหรอ?” จากที่ยืนอยู่ข้างเตียงลูก ก็ขยับตัวไปนั่งบนเตียงกว้างของตัวเองแทน ฝ่ามือหนาวางค้ำไว้กับเตียง ก่อนที่รอยยิ้มร้ายจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์
“ค่ะ ข้าวขออยู่กับลูกอีกสักครึ่งชั่วโมงจะได้ไหมคะ ให้ข้าวยืนดูลูกเฉย ๆ ก็ได้ พี่ธีร์จะทำเหมือนข้าวไม่มีตัวตนก็ได้...”
“ได้สิ...แต่ของแบบนี้มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อย หึ” ชลธีว่าขึ้นเสียงเรียบ ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก
“ข้อแลกเปลี่ยนหรอคะ”
“ใช่ เธอจะยอมรับมันรึเปล่าล่ะ”
“ถ้าพี่ธีร์รับปากว่าจะให้ข้าวอยู่กับลูก ข้าวก็พร้อมจะรับข้อแลกเปลี่ยนจากพี่ธีร์ค่ะ” ไม่ว่าเขาจะให้เธอทำอะไรเธอยอมทั้งนั้น ขอแค่เขายอมให้เธอได้มีเวลาอยู่กับลูกบ้าง มีเวลาอยู่เล่นกับลูก กอดหอมลูกอย่างที่แม่คนอื่นเขาทำ...อย่างที่เธออยากทำมาตลอด แต่เธอไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนั้นเลย เพราะเขาจะคอยห้ามคอยขัดอยู่เสมอ
แม้เวลาเขาไปทำงานเขาก็ยังคอยส่งคนตามดู กีดกันเธอไม่เลิก...เธอต้องคอยระแวงอยู่ทุกครั้งเวลาจะกอดจะหอมลูก ราวกับว่าสิ่งที่เธอทำมันผิดนักหนา ทั้งที่เธอก็เป็นแม่คนหนึ่ง แม่ที่แค่อยากมอบความรักความอบอุ่นให้กับลูก อยากอยู่ใกล้ชิดลูกของตัวเองบ้างก็เท่านั้น
อันที่จริงสิ่งเหล่านี้มันก็เป็นสิทธิ์ของเธออยู่แล้ว...เพียงแต่เขามาลิดรอนสิทธิ์ของเธอไป ด้วยคำกล่าวหาว่าเธอเป็นฆาตกร ไม่สมควรที่จะเป็นแม่ของใคร..
“พร้อมแน่ใช่ไหม” ชลธีว่าเสียงเรียบ ถามคนตรงหน้าซ้ำอีกครั้ง
“ค่ะ” เห็นสายตาของเขาแล้วก็ได้แต่บีบมือตัวเองแน่น... พร้อมกับเตรียมใจรับสิ่งที่เขาจะพูด... เธอมั่นใจเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ว่าข้อเสนอของเขาไม่ส่งผลดีต่อตัวเธอแน่
“หึ”
“พร้อมแล้วก็...”
