1 พิมพกานต์
ร่างบางในชุดกางเกงยีนสีซีดและเสื้อสีขาวดูทะมัดทะแมง
ก้าวเดินอย่างอ่อนล้าท่ามกลางแดดที่ร้อนจัด เธอพึ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าวุฒิการศึกษาแค่ชั้น ม.6 ของเธอนั้นหางานยากมากแค่ไหน เมื่อในตอนนี้ไม่สามารถหางานที่ดีได้ ก็คงต้องไปเป็นพนักงานล้างจานเหมือนเดิม
ด้วยใบหน้าสวยหวาน ผิวพรรณผ่องใสของเธอสามารถเป็นพนักงานเสิร์ฟได้สบาย ๆ แต่เธอไม่อยากทำเลย แม้มันจะได้เงินมากกว่าการล้างจานกองเท่าภูเขาอยู่ก้นครัวก็ตาม
เพราะใบหน้าที่สวยหวานโดดเด่น ทำให้เธอถูกลูกค้าลวนลามอยู่บ่อยครั้ง พอเธอคิดจะปกป้องตัวเองก็ถูกตำหนิ หนักหน่อยก็ถูกไล่ออก
หาว่าไปทำร้ายลูกค้า ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง เธอจึงเลือกที่จะทำงานอยู่ท้ายครัวแทน แม้จะหนักกว่า ได้เงินน้อยกว่า แต่มันก็สบายใจ ไม่ต้องคอยระแวงว่าจะถูกมอง จะถูกลวนลาม แถมยังไม่ต้องเปลี่ยนที่ทำงานอยู่บ่อย ๆ อีกด้วย
ใบหน้าหวานมีเหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้า จนเธอต้องยกมือขึ้นเช็ดอยู่บ่อยครั้ง การเดินกลางแดดแบบนี้แถมยังมีฝุ่นควันจากการใช้รถใช้ถนน ทำให้ผิวหน้าที่เคยขาวเนียนบอบบางเริ่มเห่อแดงจนน่าใจหาย
"กลับมาแล้วหรอลูก"
"ค่ะแม่บัว" พิมพกานต์รีบเดินเข้าไปสวมกอดแม่บังเกิดเกล้าผู้ให้ชีวิตใหม่ของตนทันที
"เป็นไงบ้างเหนื่อยไหมลูก" มือบางยกขึ้นลูบศีรษะของลูกสาวแผ่วเบา เธอคิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่รับเลี้ยงเด็กสาวคนนี้มาจากบ้านเด็กกำพร้า ในทีแรกเธอไม่ได้ลำบากขนาดนี้ เธอพอดีรายได้จากการขายข้าวแกงที่ถือว่าเป็นเจ้าดังประจำซอยเลยกว่าได้ พอมีกำไรมีกำลังทรัพย์มาหน่อยเธอจึงคิดที่จะรับเลี้ยงเด็กสักคน ด้วยความเหงาจากการเป็นสาวโสดคานทอง
ในช่วงแรกเธออยู่กับพิมพกานต์อย่างมีความสุข ตอนเช้าเดินไปส่งลูกที่โรงเรียน ตอนเย็นไปรับ คอยดูการเติบโตของลูกในทุกช่วงวัย อีกทั้งพิมพกานต์ยังเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน แม้จะไม่ใช่คนเรียนเก่งหัวดี แต่ก็ไม่เคยทำให้เธอลำบากใจหรือเสียใจเลยสักครั้ง แม้ว่าเรื่องเรียนจะไม่เก่งดีเลิศเลออะไร แต่ฝีมือการทำอาหารและงานบ้านงานเรือนนั้น เรียกได้ว่าเป็นคนมีพรสวรรค์เลยทีเดียว เธอสอนนิดสอนหน่อยก็เรียนรู้ไว จดจำทุกอย่างได้ในเวลาอันสั้น
แต่แล้วความสุขที่มีอยู่ก็ถูกพรากจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอพบว่าตัวเองเป็นโรคร้าย งานที่เคยทำอยู่ก็ไม่สามารถทำได้เต็มที่เหมือนเก่า เพราะจะรู้สึกเหนื่อยหอบหรืออ่อนแรงอยู่ตลอด อีกทั้งค่ารักษาก็พยาบาลก็มากโข เงินเก็บที่มี ที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะส่งลูกสาวคนสวยที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจเรียนในระดับอุดมศึกษาก็ถูกนำออกมาใช่จ่ายเรื่องค่ารักษาพยาบาลของเธอจนค่อย ๆ หมดลงทีละนิด จนในที่สุดก็แทบไม่มีเหลือเลย
"ไม่เหนื่อยค่ะ ข้าวหอมทนได้ แต่ว่าอาการป่วยของแม่...ตอนนี้ข้าวยังหางานเพิ่มไม่ได้เลย ข้าวขอโทษนะคะ ข้าวน่าจะพยายามให้มากกว่านี้"
"แค่นี้ก็ดีมากแล้วลูก ดีมากเหลือเกิน" อรพินท์เอ่ยบอกลูกสาวในอ้อมแขนเสียงสั่น หากไม่มีลูกสาวคนนี้ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตสาวโสดของเธอจะดำเนินไปอย่างไร หรือจะเป็นอาการป่วยที่ต้องใช้เงินรักษาจำนวนมากในตอนนี้ หากไม่มีพิมพกานต์เธอก็ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอจะยังมีลมหายใจอยู่รึเปล่า
"ไม่เอา ไม่ร้องสิคะ วันนี้เชฟบัวมีอะไรให้ข้าวกินบ้างน้าาา"
"มีเยอะแยะเลย จะกินหมดรึเปล่า" มือเหี่ยวย่นยกขึ้นปาดน้ำตา ก่อนจะเอ่ยพูดกับลูกสาวที่กอดเอวออดอ้อนตัวเองไม่หยุด
"ฝีมือแม่บัวซะอย่าง ข้าวไม่ปล่อยให้เหลือแน่นอนค่ะ"
"จริง ๆ เล๊ยลูกคนนี้"
"พรุ่งนี้แม่ว่าแม่จะลองทำกับข้าวไปขายดู..."
"แต่แม่ยังไม่หายดีเลยนะคะ ข้าวเป็นห่วง" พิมพกานต์เอ่ยขัดผู้เป็นแม่ แม่พึ่งจะออกจากโรงพยาบาลได้ไม่ถึงห้าวันเลยด้วยซ้ำ ถ้าแม่ไปอีก เธอกลัวว่าแม่จะไม่ไหวเอา ถึงแม่พึ่งจะอายุห้าสิบต้น ๆ แต่เธอก็ไม่อยากให้แม่ทำงานหนัก เพราะที่ผ่านมาแม่ก็ทำงานหนักเลี้ยงดูเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครเหลียวแลอย่างเธอมามากแล้ว
"แม่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บ้านมาหลายวัน จนตัวแม่จะมีแต่ขนแล้ว"
"ขี้เกียจตัวเป็นขนหรอคะ คิก ๆ"
"ยัยลูกคนนี้" ฝ่ามือฟาดไปที่ต้นแขนของลูกสาวที่นอนกอดเอวเธออยู่อย่างไม่จริงจังนัก
"ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าวจะตื่นมาช่วยแม่บัว แล้วก็ไปช่วยแม่บัวขายก่อนจะไปทำงานนะคะ" ใบหน้าสวยหวานเงยขึ้นสบตาผู้เป็นแม่ที่นั่งพิงหัวเตียง ลูบหัวเธออยู่
"ข้าวจะไหวหรอลูก" ไหนจะต้องเดินตะลอน ๆ สมัครงานทั้งวัน ตอนบ่ายไปจนถึงเที่ยงคืนก็ต้องอยู่ท้ายครัวล้างจาน มันทำให้เธออดเป็นห่วงลูกไม่ได้ ดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ร้านที่พิมพกานต์ทำงานอยู่นั้นปิด
พอให้มีเวลาได้พักผ่อนบ้าน แต่เจ้าตัวก็ดื้อรั้นไปหางานเพิ่มอีก เธอรู้ว่าที่ลูกทำแบบนี้ก็เพราะเธอ แม้จะบอกไปแล้วว่าชีวิตเธอนั้นไม่เสียดาย ขอแค่เห็นลูกมีความสุขก็พอ แต่พิมพกานต์นั้นไม่ยอม บอกว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้เธออยู่ด้วยไปนาน ๆ
พอถึงเวลาที่เจ้าตัวจะดื้อเธอก็จนปัญญาที่จะเถียง แต่เรื่องที่เธอรู้สึกผิดมากที่สุดเลยก็คือ เรื่องที่พิมพกานต์นั้นออกจากมหาลัยกลางคัน ทั้งที่อยู่ปีสามแล้วแท้ ๆ เหตุผลที่ออกมาก็ทำเธอนั้นรู้สึกปวดใจมากขึ้นไปอีก เมื่อลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนลาออกมาหางานทำ เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้านและค่ารักษาพยาบาลของเธอ
เธอมารู้ทีหลังในตอนที่ป่วยหนักต้องนอนโรงพยาบาลอยู่เป็นเดือน โดยมีพิมพกานต์คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง เธอบอกให้ไปเรียนก็ไม่ไป
เธอถามเรื่องเรียนก็อึกอัก แถมบางครั้งที่ออกไปกลับมาเธอก็ได้กลิ่น
แปลก ๆ ที่ติดตัวมา เธอซักไซ้อยู่นานกว่าเจ้าตัวจะยอมบอก และทันทีที่ได้รับรู้ เธอก็ปล่อยโฮออกมาอย่างเจ็บปวด เจ็บปวดที่ไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้มีชีวิตที่ดีได้ ให้ต้องมาตกระกำลำบากเพราะเธอ
"ไหวค่ะ แค่นี้สบายมาก" ว่าจบก็ส่งยิ้มหวานให้ผู้เป็นแม่ บ่งบอกว่าเธอไหวจริง ๆ อย่างที่พูด
"แม่ขอโทษนะที่ทำให้ข้าวต้องมาลำบากแบบนี้ แทนที่จะได้เรียน ทำงานเป็นเชฟในโรงแรมดัง ๆ อย่างที่ลูกฝันเอาไว้"
"ข้าวเรียนตอนไหนก็ได้ค่ะ แต่ชีวิตแม่... มันรอเวลาไม่ได้นะคะ"
"ทำไมลูกสาวแม่ถึงได้แสนดีแบบนี้นะ แบบนี้ต้องมีหนุ่ม ๆ มาขายขนมจีบเยอะแน่เลย"
"ไม่มีค่ะ" เธอตอบออกไปอย่างไม่ต้องคิดเลย ก็มันไม่มีจริง ๆ นี่นา หากไม่นับตอนที่เธอเรียนอยู่น่ะนะ ตอนนี้เธอทำงานอยู่ท้ายครัว ใครจะมาเห็นมาจีบเล่า อีกอย่างถึงมีเธอก็ยังไม่เคยคิดเรื่องพวกนั้น ในหัวสมองของเธอมีแต่เรื่องแม่เท่านั้น
"จะเป็นไปได้ยังไง ลูกแม่ทั้งสวยหวาน หุ่นดี มารยาทดี พูดจาก็เพราะ แถมนิสัยยังดีมาก ๆ แบบนี้ ใครไม่มาจีบ มีตาหามีแววไม่" หากเธอลาจากโลกนี้ไปเธอก็อยากเห็นลูกสาวที่แสนบอบบางคนนี้ของเธอมีคนที่ดีคอยดูแล
"ข้าวอยู่กับแม่แบบนี้ก็มีความสุขดีมาก ๆ แล้วค่ะ ข้าวยังไม่คิดเรื่องนั้นเลย"
"อย่าเอาแต่ทำงาน คิดบ้างก็ได้นะลูก อย่าคิดเกาะคานทองแบบแม่เชียว"
"คิก ๆ น่าสนใจดีนะคะ"
"ลูกคนนี้นี่"
"หาวว ข้าวง่วงจังเลยค่ะ เรานอนกันดีกว่า" ว่าจบก็ขยับตัวจัดท่าเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาพริ้ม นอนกอดแม่อย่างสุขใจ
"ข้าวหอมลูก"
"คะแม่" คนที่หลับไปแล้วเอ่ยตอบผู้เป็นแม่
"ข้าวหอมอยากรู้รึเปล่าว่าชื่อ พิมพกานต์ของหนูมีความหมายว่าอะไร"
"คะ??" ชื่อนี้แม้ว่าเธอจะอยากรู้ความหมายของมันมากแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถรับรู้มันได้ เพราะแม่บอกว่าชื่อนี้ติดตัวเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนแม่จะมารับเลี้ยงเธอไปเสียอีก
"พิมพกานต์ แปลว่ารูปงาม น่ารัก..." พูดพลางลูบกลุ่มผมนุ่ม ๆ ของลูกสาวไปพลาง
"ทำไมแม่บัวถึง.."
"ทำไมแม่ถึงรู้...วันก่อนแม่ไปทำบุญที่วัดแถวบ้าน ได้ข่าวว่าพระรูปนี้ท่านมีความรู้เกี่ยวกับการตั้งชื่อ ท่านตั้งชื่อให้คนมาแล้วเป็นพันเป็นหมื่น ทั้งแก้เคล็ด เสริมบุญบารมี เสริมโชคลาภ แม่ก็เลยลองถามชื่อของข้าวกับท่านดู" อันที่จริงเธอตั้งใจนั่งรถไปเกือบร้อยกิโลเลยก็ว่าได้ เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่คั่งข้างอยู่ในใจลูกสาวคนนี้ของเธอมาโดยตลอด
"ฮึก จริงหรอคะ ชื่อของข้าวหอมมีความหมาย ไม่ใช่ชื่อที่ถูกตั้งมาส่ง ๆ ใช่ไหมคะ ฮือ ๆ" ครั้งหนึ่งเธอเคยถามเรื่องนี้กับแม่ใหญ่ที่บ้านเด็กกำพร้า ท่านบอกว่าชื่อนี้มันเขียนอยู่ในเศษกระดาษในตะกร้าหวายที่มีคนเอามาทิ้งไว้พร้อมกับเธอ ในตอนนั้นเธอคิดว่าพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเธอมาคงจะไม่มีความพร้อมถึงได้นำเธอมาทิ้งอย่างไม่สนใจไยดีแบบนั้น พร้อมกับตั้งชื่อให้อย่างส่ง ๆ แสดงถึงความไม่ใส่ใจต่อเธอเลย เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นปมในใจเธอมาตลอด
เจ็บปวดกว่าการถูกล้อว่าลูกไม่มีพ่อ เด็กกำพร้า ก็คือการถูกพ่อแม่ที่แท้จริง ทิ้งขว้างอย่างไม่คิดจะเหลียวแล แต่พอมาวันนี้เธอได้รู้แล้วว่าชื่อเธอนั้นมีความหมาย แถมความหมายของมันก็ดูจะสอดคล้องกับเธอในตอนนี้ ราวกับตั้งใจ ...
"จริงสิลูก ดูสิลูกสาวคนสวยของแม่รูปงามเหมือนกับชื่อเลย"
"แม่บัวก็... แต่ยังไงข้าวหอมก็ขอบคุณแม่บัวนะคะ ขอบคุณในทุก ๆ อย่างที่แม่บัวทำเพื่อข้าวหอม รวมถึงเรื่องนี้ด้วย" ดวงตากลมใส มีหยาดน้ำตาคลออยู่น้อย ๆ มองขึ้นสบตาผู้เป็นแม่
"เพื่อลูกสาวคนสวยคนเดียวของแม่ แม่ทำได้ทั้งนั้น นอนเถอะนะลูก วันนี้ข้าวหอมเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว..." มือเหี่ยวย่นยื่นไปเช็ดน้ำตาที่คลออยู่ออกให้ลูกสาว ก่อนจะเลื่อนมือไปตบแผ่นหลังบางของลูกเบา ๆ
"แม่จะพยายามสู้เพื่ออยู่กับข้าวให้นานที่สุดนะลูก" อรพินท์ค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนข้าง ๆ ลูกสาวก่อนจะยกแขนขึ้นกอดตอบ แม้ว่าลูกสาวเธอจะมีอายุถึงยี่สิบห้าปีแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมแยกห้องนอนเลยสักครั้ง เอาแต่มากอดมาอ้อนนอนกับเธออยู่แบบนี้ ราวกับกลัวว่าเธอจะไม่รัก จะทิ้งไป
ว่าไปแล้วก็ไม่แปลกที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครเหลียวจะรู้สึกแบบนั้น ก็คงจะกลัวว่าวันหนึ่งจะถูกเธอพาไปทิ้งไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างที่เคยถูกกระทำมา...
"คุณน้าจะรับเลี้ยงเด็กคนนั้นใช่ไหมคะ"
"ใช่จ้ะ ทำไมหรอ"
"ถ้าอย่างนั้นคุณน้าช่วยสัญญาได้ไหมคะ ว่าจะไม่พาแกไปทิ้งที่ไหนหรือทำร้ายแก"
"ทำไมถามอย่างนั้นล่ะคะ มีอะไรรึเปล่า" อรพินท์ในวัยสามสิบต้น ๆ เอ่ยถาม
"มีครั้งหนึ่งน่ะค่ะ ที่แกถูกรับไปเลี้ยง แต่พอทางผู้รับเลี้ยงมีลูกเป็นของตัวเอง ก็ปล่อยปละละเลยแก บ้างก็ทำร้ายแก หนักสุดก็คงจะเอาแกไปทิ้งไว้ที่สะพาน ดีที่วันนั้นฉันไปเห็นพอดี แต่ก็เป็นเวลานานเลยค่ะที่แกถูกทิ้งไว้"
"โธ่ยัยหนู...ค่ะฉันจะรับเลี้ยงเด็กคนนั้น และให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลเลี้ยงดู ให้ความรักความอบอุ่น ไม่ทำร้ายแกอย่างแน่นอนค่ะ" ความรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกพบ และเรื่องราวที่ได้ฟัง ทำให้เธอตัดสินใจรับเลี้ยงพิมพกานต์อย่างไม่ลังเล
"คุณน้าพูดแบบนั้นฉันก็วางใจค่ะ"
"คุณน้าจะไม่ทิ้งข้าวหอมใช่ไหมคะ" ดวงตากลมใส่จับจ้องไปยังใบหน้าของคุณน้าที่จูงมือของเธออยู่
"ไม่ทิ้งแน่นอนจ้ะ ต่อจากนี้เราไปอยู่ด้วยกันนะลูก ไปอยู่ที่บ้าน บ้านของเรา"
"ฮึก จริง ๆ นะคะ คุณน้าสัญญากับข้าวหอมแล้วนะคะ"
"จ้ะ แม่สัญญา"
"มะ แม่หรอคะ ฮึก"
"ใช่จ้ะ ต่อไปนี้แม่บัวจะเป็นแม่ของหนู ข้าวหอมมาเป็นลูกสาวของแม่นะคะ"
"ฮึก คุณแม่..."
