บท
ตั้งค่า

4 ความจริงอันโหดร้าย

“กระจิบ ลงจอดตรงนี้นี่แหละ”

ฉันให้กระจิบลงจอดที่ชายขอบทุ่งหญ้า เพราะไม่กล้าขี่น้องเข้าไปใกล้เขตเมือง

การมีเหยี่ยวสีขาวตัวใหญ่ยักษ์เป็นสัตว์เลี้ยงข้างกาย มันไม่ใช่เรื่องปกติในความคิดฉัน ฉันไม่รู้ว่าที่โลกใบนี้เป็นอย่างไร วิถีชีวิตผู้คนเป็นแบบไหน ระวังตัวเองไว้เป็นดีที่สุด

“กระจิบ กลับมา”

พรึ่บ!

กระจิบหายกลับเข้าไปอยู่ในคลังสัตว์อสูรแล้ว ฉันจึงเริ่มออกเดินเท้ามุ่งตรงไปยังประตูเมือง ทหารยามสองคนยืนถืออาวุธหอกเฝ้าอยู่ พร้อมกับมีหมาป่าสีเทาตัวเขื่องข้างกาย

ผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังต่อแถวเดินเข้าเมือง บ้างใส่ชุดเกราะคล้ายนักรบ บ้างก็สวมผ้าคลุมเหมือนนักเวทย์ แต่มีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งแบกกระเป๋าใบใหญ่ไว้ด้านหลัง ฉันเดาไม่ออกจริงๆ ว่าพวกเขามีอาชีพอะไร แต่กลุ่มคนซึ่งมีสัตว์อสูรวนเวียนอยู่ใกล้ๆ จะต้องมีอาชีพเดียวกันกับฉันแน่ๆ

เทมเมอร์... และดูเหมือนอาชีพนี้ จะมีปริมาณเยอะกว่าชาวบ้านเขาเสียด้วยสิ

‘โหลจัง... คิดว่าจะพิเศษซะอีก’

“ไง”

ระหว่างกำลังบ่นอุบอิบกับตัวเองในใจ ได้มีเสียงแหลมเล็กของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ดังขึ้นจากทางด้านหลัง พร้อมสัมผัสแผ่วเบาแตะที่บริเวณต้นแขนของฉัน

“สวัสดี”

ฉันหันกลับไปทักทายตามมารยาท เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักสวมผ้าคลุมสีฟ้าอ่อน ในมือถือคทาสีเดียวกับผ้าคลุมเอาไว้ ชัดเจนขนาดนี้คงมีอาชีพเป็นนักเวทย์ไม่ผิดแน่

“ข้าชื่อมิราน่า เจ้าล่ะ?”

มิราน่ายิ้มแย้มแจ่มใสแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร

“ฉัน... เอ้ย! ข้าชื่อมิริน”

ชื่อครองจองกันซะด้วย นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ฉันคงคิดว่าเป็นบุพเพสันนิวาสแน่ๆ แต่ตอนนี้เป็นบุพเพอาละวาดไปก่อนละกันนะ

“เจ้ามาจากที่ไหนเหรอ?”

จะตอบยังไงดีล่ะ บอกว่ามาจากโลกของคนเป็นเธอจะงงไหม ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่คือสวรรค์ โลกหลังความตาย หรือที่ไหนกันแน่

“ข้ามาจากทุ่งหญ้าน่ะ”

ฉันยิ้มแห้งกล่าวตอบ ถือว่าไม่ได้โกหกนะ เพราะฉันลืมตาตื่นขึ้นมาอยู่กลางทุ่งหญ้าจริงๆ หวังว่าพระเจ้า จะไม่จดความผิดนี้ลงบันทึกไว้ทำโทษฉันคราวหลัง

“กลาสแลนด์น่ะเหรอ?”

มิราน่าทำสีหน้าครุ่นคิดคล้ายแปลกใจ ด้วยความที่ฉันกลัวว่าเธอจะถามซักไซ้อะไรต่อ จึงรีบชิงถามเธอก่อน

“ว่าแต่ที่นี่คือเมืองอะไรเหรอ?”

“อ๋อ ที่นี่คือเมืองออโรร่าน่ะ เจ้าคงเพิ่งเคยมาครั้งแรก ถึงว่าข้าไม่คุ้นหน้าเจ้าเลย คงเป็นนักเดินทางสินะ”

“ใช่ๆ ข้าเป็นนักเดินทาง”

เออออห่อหมกไปก่อนละกัน ขี้เกียจถูกซักประวัติ ทำตัวกลมกลืนเข้าไว้ ค่อยๆ หาข้อมูลที่อยากรู้ไปเรื่อยๆ

“แล้วเจ้าสายอาชีพอะไรเหรอ? ข้าดูไม่ออก”

มิราน่ากวาดสายตามองฉันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นี่ถ้าเธอไปทำแบบนี้ในโลกเดิมที่ฉันจากมา ยัยเด็กคนนี้คงถูกตบหัวทิ่มไปแล้วล่ะ มันไร้มารยาท!!

ฉันลองก้มมองดูสภาพตัวเอง ตามสายตาของคู่สนทนา ขนาดตัวของเราสองคนดูไม่ต่างกันมาก เหมือนฉันจะสูงว่ามิราน่าเล็กน้อย แต่ที่ต่างกันลิบลับเลย คือเสื้อผ้าซึ่งสวมใส่อยู่บนร่างกาย

มิราน่าใส่ชุดเดรสสีขาวน่ารักดูสะอาดสะอ้าน มีผ้าคลุมกับคทาสีฟ้าอ่อน ผมสีเหลืองทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มดูอินเตอร์ มีเครื่องประดับวิบวับ ที่เดาว่าคงจะหลายตังสวมใส่ตามส่วนต่างๆ ไหนจะรองเท้าคัตชูมีโบว์นั่นอีก

ตัดภาพมาที่ฉัน มีแค่กางเกงขาสามส่วน กับเสื้อแขนสั้นสีขาวขุ่นขมุกขมัว และรองเท้าเกือบขาดอีกหนึ่งคู่ ต่างกันลิบลับ

“แหะๆ เทมเมอร์น่ะ”

ฉันยกมือเกาศีรษะแก้เขิน อับอายขายขี้หน้าชะมัดกับสภาพตัวเองในตอนนี้ ไม่คิดว่าสารรูปจะดูทุเรศทุรังน่าสมเพชเยี่ยงขอทาน น่าจะนึกเอะใจสำรวจร่างกายสักหน่อยก่อนเข้าเมือง

แต่ยังดีนะที่ระบบมันให้เสื้อผ้ามาสวมใส่ เพราะก่อนตายจำได้ว่ากำลังแก้ผ้าอาบน้ำอยู่ ถ้ามาสภาพนั้นฉันคงต้องแทรกแผ่นดินหนี

หมดกัน! ภาพลักษณ์ของฉัน

“ว้าว! เจ้าคงจะมีความสามารถในการต่อสู้มากสินะ ว่าแต่ปาร์ตี้เจ้าอยู่ไหนเหรอ?”

มิราน่าชะเง้อคอกวาดมองไปรอบๆ ก่อนลากสายตากลับมาหยุดอยู่ที่ฉันอีกครั้งด้วยแววตาสงสัย

กระจิบนี่ถือว่าเป็นสมาชิกในปาร์ตี้ไหมนะ?

“ไม่มีปาร์ตี้หรอก ข้าเดินทางคนเดียว”

“จริงเหรอ? เจ้าต้องเก่งมากแน่ๆ ถึงเดินทางคนเดียว”

ดวงตากลมโตวาววับเป็นประกายเมื่อได้ยินคำตอบ ทำไมเธอต้องดูตื่นเต้นขนาดนั้น เทมเมอร์เป็นนักเดินทางไม่ได้หรือไง

“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แค่พอเอาตัวรอดได้น่ะ แล้วเทมเมอร์คนอื่นๆ เขาไม่ใช่นักเดินทางกันเหรอ?”

คนที่ยืนต่อแถวเข้าเมืองตรงนี้ก็มีอาชีพเทมเมอร์ไม่ใช่น้อยๆ เกินครึ่งซะอีก พวกเขาก็น่าจะเดินทางมาจากเมืองอื่นไม่ใช่หรือไงกัน

“ก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเดินทางกับปาร์ตี้น่ะ เทมเมอร์เป็นอาชีพที่ไม่นิยมเดินทางคนเดียว”

“เพราะอะไรเหรอ?”

“ก็... อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้นะ แต่อาชีพเทมเมอร์ ค่อนข้างไร้ประโยชน์ หากนำเข้าปาร์ตี้ไปล่าสัตว์อสูรด้านนอก ส่วนใหญ่จะอยู่ในรั้วกำแพงเมืองทำงานอย่างอื่นแทนน่ะ”

“ทำไมอย่างนั้นล่ะ?”

ยัยบ้านี่พูดข่มเราหรือเปล่านะ ฉันว่าอาชีพเทมเมอร์มันดูว้าวออกจะตายไป สามารถจับสัตว์อสูรมาเป็นสัตว์เลี้ยงได้ ถึงไม่มีใครให้คุยด้วย แต่ก็ยังมีเจ้าพวกนี้ไว้แก้เหงา

“สกิลโจมตีพื้นฐานของสายอาชีพเทมเมอร์ต่ำมาก การจะอัพเลเวลแต่ละขั้น เพื่อปลดล็อกความสามารถจับสัตว์นั้น เทมเมอร์ต้องใช้พลังของตัวเองโจมตีสัตว์อสูร หรือใช้พลังของสัตว์อสูรที่ควบคุมอยู่ ทำให้เป้าหมายเลือดใกล้หมดหลอด เทมเมอร์ถึงจะร่ายพันธสัญญาได้”

“…”

“เทมเมอร์ส่วนใหญ่จึงมีเลเวลแค่ 10 และมีสัตว์อสูรในคลังเพียงตัวเดียว เพราะการจะโจมตีสัตว์อสูรซึ่งมีระดับเหนือกว่า เป็นเรื่องที่ยากมากๆ”

“…”

“ส่วนเทมเมอร์ที่พอจะมีความสามารถ ก็จะมีเลเวลประมาณ 20-30”

“…”

“ฉันเคยเห็นอยู่คนหนึ่งในเมืองนี้นี่แหละ มีเลเวลเยอะสุดคือ 50 เขาควบคุมสัตว์อสูรได้ถึง 5 ตัว แต่ตอนนี้ลุงแกก็อายุมากแล้วด้วย เป็นตำนานสำหรับชาวเทมเมอร์เลยล่ะ”

สภาพ... ทำไมอาชีพที่ฉันได้รับมา ประวัติมันถึงได้ดูน่าอนาถขนาดนี้ แล้วความฝันที่ฉันอยากสร้างกองทัพสัตว์อสูรเป็นของตัวเอง จะมีวันเป็นจริงไหมเนี่ย?

“อ่อ... อย่างนั้นเหรอ?”

ฉันแทบจะหมดแรงลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น เมื่อได้รับรู้ข้อมูลของอาชีพเทมเมอร์ แต่ยังฝืนประคองร่างกายยืนได้อยู่ ไม่ต้องส่องกระจกก็พอจะรู้ ว่าตอนนี้หน้าของฉันซีดมากแค่ไหน

วิญญาณออกจากร่างไปแล้วจ้า~

“แล้วเจ้าพอจะบอกได้ไหม ว่าสายอาชีพอะไรแข็งแกร่งที่สุด?”

เศร้าไปก็เท่านั้น ฉันควรหาข้อมูลเพิ่มเติม ไม่รู้ว่ามิราน่าจะอยู่เสวนากับฉันได้ถึงกี่โมงกี่ยาม เผลอๆ เดินเข้าเมืองไปแล้ว นางก็คงหายจ้อยไปกับสายลม

“พูดยากอ่ะ แต่ละอาชีพก็มีจุดเด่นไปคนละทาง”

“…”

“ไฟต์เตอร์แข็งแกร่ง นักเวทย์โจมตีได้เรื่อยๆ ขอแค่มีมานา และยังมีสกิลฟื้นฟู ส่วนนักประดิษฐ์ก็เป็นที่ต้องการของปาร์ตี้ ยกเว้น

เทมเมอร์ แหะๆ อันนี้ข้าหาความพิเศษไม่เจอจริงๆ”

ตอกและย้ำเข้าไป ฉันเรียกกระจิบออกมาจิกกบาลยัยนี่ได้ไหมนะ หมั่นไส้จัง!

“แต่เจ้าอย่าเพิ่งท้อแท้ไป หากไม่มีสายอาชีพเทมเมอร์ แรงงานในแต่ละเมืองก็ไม่มีเช่นกัน”

“…”

“เจ้าดูนั่นสิ อย่างพี่ทหารยาม 2 คนนั้นก็เป็นอาชีพเทมเมอร์ ส่วนเทมเมอร์คนนั้นก็ใช้นกพิราบส่งข่าว คนนู้นใช้วัวลากรถขนส่งสินค้า ส่วนคนโน้น... ก็ใช้ผึ้งผสมเกสรดอกไม้ทำน้ำผึ้งขาย มีประโยชน์เยอะแยะจะตายไป”

หล่อนคงรับรู้ได้ถึงจิตสังหารของฉัน ถึงพยายามพูดอวยอาชีพเทมเมอร์ยกใหญ่ แต่จะบอกว่า... มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลยโว้ย!!!

“ข้าว่าข้าขอตัวก่อนดีกว่า พอดีมีธุระต้องรีบไปจัดการ”

ขืนยืนอยู่ตรงนี้นานกว่านี้อีกสักนาทีเดียว กบาลยัยมิราน่าได้โบ๋แน่ๆ รับประกันเลยว่ากระจิบจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง

ฉันขอตัวและรีบเดินจ้ำเข้าประตูเมืองไป ธุระที่ว่าจะไปจัดการคือหาอาหารกินยังไงล่ะ

หิว!! ยิ่งหิวยิ่งหงุดหงิดง่าย เดี๋ยวแม่เรียกกระจิบออกมาอาละวาด ให้เมืองราบเป็นหน้ากลองซะเลยดีไหม

หึ่ย!!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel