ตอนที่ 3 บะหมี่
ตอนที่ 3 บะหมี่
เมื่อเซียวจินหานกลับมาถึงกระท่อม หลินซูเหยาที่กำลังนั่งรออยู่บนเตียง พอเห็นเขาเดินเข้ามา นางก็รีบลุกขึ้นยืนทันที
“เจ้ากลับมาแล้ว…” นางพูดเบา ๆ
เซียวจินหานยิ้มให้ พลางยื่นชามน้ำข้าวต้มที่มีเศษผักดองให้ “เหยาเหยา…กินสิ เจ้าคงหิวมากแล้ว”
หลินซูเหยามองชามในมือของเขา น้ำตาเริ่มเอ่อคลอในดวงตา นางรู้สึกสงสารทั้งเจ้าของร่างเดิมและเซียวจินหานอย่างจับใจ ชามน้ำข้าวต้มที่แทบไม่มีอะไรเลยนี้แสดงให้เห็นถึงความลำบากและความรักที่เขามีต่อนาง เขาคงกลับไปขอข้าวครัวครอบของเขามาแน่ๆ
“ข้า…” นางพยายามกลั้นน้ำตา แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำได้ น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม นางยกมือขึ้นปิดหน้า ร้องไห้ออกมาอย่างเงียบ ๆ
เซียวจินหานตกใจ เขาวางชามลงบนโต๊ะแล้วรีบเข้ามาประคองนาง “เหยาเหยา…อย่าร้องไห้…ข้าทำอะไรผิดหรือ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
หลินซูเหยาส่ายหน้า “ไม่…เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ข้าแค่…แค่…” นางพูดไม่ออก ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจ เพราะนางก็เคยอดยากมาก่อน ตอนอยู่บนดอยได้กินข้าวแต่กับนำพริกผักต้ม ไม่รู้ว่าป่านนี้แม่จะเป็นยังไงบ้าง
หลินซูเหยายกหลังมือเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มอย่างเงียบงัน พลางสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติกลับมา นางหันไปมองชามน้ำข้าวต้มด้วยความรู้สึกขมขื่น แต่อีกใจก็อบอุ่นกับความห่วงใยของเซียวจินหาน
“ข้าขอโทษ… ข้าไม่ได้อยากร้องไห้ต่อหน้าเจ้าเลย” หลินซูเหยาพึมพำเบา ๆ พยายามยิ้มให้เขา
เซียวจินหานส่ายหน้า รีบพูดปลอบนาง “ไม่เป็นไรเหยาเหยา…เป็นข้าที่ดูแลเหยาเหยาไม่ดีเอง” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ
หลินซูเหยามองหน้าเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหลังแล้วหลับตาเรียกระบบในใจ
[ขอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2 ซอง]
ทันใดนั้น ในมือของนางก็ปรากฏซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างที่คุ้นเคยจากโลกเดิม นางลอบถอนหายใจก่อนจะไปเป่าไฟใส่ฟืนให้ลุกโชนขึ้น แล้วตักน้ำใส่หม้อเล็ก ตั้งบนเตารอจนน้ำเดือด
เซียวจินหานยืนมองด้วยความงุนงง “เหยาเหยา เจ้า…จะทำอะไรหรือ?”
หลินซูเหยาหันมายิ้ม พลางพูดเสียงเบา “ข้าจะต้มบะหมี่ให้เจ้ากิน เจ้ารอเดี๋ยวนะ”
เซียวจินหานกระพริบตาปริบ ๆ มองนางด้วยความประหลาดใจ เพราะเขาไม่เข้าใจคำว่าบะหมี่คืออะไร แต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้หรือขัดขวางอะไร ด้วยความที่เขามักถูกคนอื่นตราหน้าว่า ‘เป็นคนบ้าและปัญญาอ่อน’ เขาจึงชินกับเรื่องแปลกประหลาดต่าง ๆ ที่คนอื่นอาจไม่เข้าใจ
หลินซูเหยาฉีกซองบะหมี่เทลงในน้ำเดือด กลิ่นหอมจาง ๆ ของเครื่องปรุงลอยอบอวลไปทั่วกระท่อม
ขณะที่นางคนน้ำให้เส้นคลายตัวในหม้อ เซียวจินหานจ้องมองไปที่เปลวไฟใต้หม้อ ดวงตาไร้จุดหมาย ริมฝีปากเริ่มขยับน้อย ๆ พึมพำกับตัวเอง
“แม่น้ำสีแดง...ดอกไม้แดง...ไม่มีใครเชื่อข้า” เสียงพึมพำของเขาแผ่วเบา บางครั้งสูงบางครั้งต่ำ เหมือนคนสองคนสนทนากัน
หลินซูเหยาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ พยายามจับความจากคำพูดเหล่านั้น แต่มันกระจัดกระจายและไร้ความหมาย นางไม่อาจเข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
เซียวจินหานเงยหน้ามองนางด้วยสายตาว่างเปล่าครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะคิกคักอย่างไร้เหตุผล แล้วก็กลับไปพึมพำเหมือนเดิม “ปลาใหญ่... ปลาเล็ก... น้ำแดง... คนตาย...”
หลินซูเหยาถอนหายใจเบา ๆ เลิกพยายามทำความเข้าใจคำพูดของเขา นางหันกลับไปคนเส้นบะหมี่ที่เริ่มนุ่ม กลิ่นหอมของเครื่องปรุงยิ่งเข้มข้นขึ้น
“อีกเดี๋ยวก็สุกแล้ว” นางพูดกับตัวเอง พลางเหลือบมองชายหนุ่มที่ยังคงพึมพำไม่หยุด
ในระหว่างนั้น เซียวจินหานลุกขึ้นยืน เริ่มเดินวนไปมาในกระท่อมแคบ ๆ สองมือยกขึ้นโบกไปมาเหมือนกำลังไล่อะไรสักอย่าง ปากของเขาแค่นเสียงหัวเราะและพร่ำพูดคำไม่เป็นประโยคอย่างต่อเนื่อง ดวงตาเริ่มเหม่อลอย มองทะลุผ่านผนังกระท่อม ราวกับกำลังเห็นบางสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
หลินซูเหยาสังเกตเขาอยู่ห่าง ๆ รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย แต่นางก็พยายามทำความเข้าใจว่านี่คือสภาพปกติของเขา ชายหนุ่มที่ถูกทั้งหมู่บ้านมองว่าเป็นคนบ้าและปัญญาอ่อน
“น้ำสีแดง...ไฟมา...แดงทั้งหมด...จะจม...จะจมหมดแล้ว...” เซียวจินหานทรุดตัวลงนั่งกับพื้น มือกุมศีรษะแน่น สีหน้าเหมือนคนกำลังหวาดกลัว
หลินซูเหยาสะดุ้ง ชะงักมือที่กำลังคนน้ำในหม้อ “จินหานเจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” เสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล
แต่เพียงชั่วอึดใจ เซียวจินหานก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าสงบลง เขายิ้มกว้างเหมือนเด็กน้อย จากนั้นลุกขึ้นยืนและเดินกลับมานั่งที่เก่า ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลินซูเหยาถอนหายใจอย่างโล่งอก หันกลับมาสนใจบะหมี่ที่ใกล้สุกแล้ว นางคิดในใจว่าการอยู่กับเขาคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็รู้สึกเวทนาชายหนุ่มผู้น่าสงสารคนนี้
เมื่อบะหมี่สุกได้ที่ หลินซูเหยาก็ตักแบ่งใส่ชามสองใบที่เริ่มแตกระแหงเป็นชามดินเผาอย่างหยาบ ๆ นางตักน้ำซุปพร้อมเส้นลงไปในชามของเซียวจินหานเกือบเต็มชาม กลิ่นหอมของเครื่องปรุงทำให้ท้องของนางส่งเสียงร้องโครกคราก เพราะร่างนี้ไม่ได้กินอะไรมาเกือบสองวันแล้ว และคิดว่าเซียวจินหานก็ยังไม่ได้กินอะไรเช่นกัน
“มาจินหาน กินกันเถอะ” นางยื่นชามให้เขาพร้อมช้อนไม้
เซียวจินหานรับชามไปอย่างระมัดระวัง เขามองบะหมี่ในชามด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“สีเหลือง... เส้นยาว... ไม่เหมือนข้าวต้ม...” เขาพูดเบา ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“นี่คือบะหมี่ อร่อยมากนะ ลองชิมดูสิ” หลินซูเหยาบอก นางเริ่มตักเส้นและน้ำซุปเข้าปากตัวเอง รสชาติคุ้นเคยทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจ แม้จะห่างไกลจากบ้านในโลกเดิม
เซียวจินหานมองนางกินอย่างสนใจ ก่อนจะลองตักบะหมี่เข้าปาก ทันทีที่ได้ลิ้มรส ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น
“หอม! อร่อย!” เขาอุทานออกมา แล้วตักเข้าปากอีกคำอย่างรวดเร็ว “เหยาเหยา ทำได้อย่างไร? รสชาติวิเศษเหลือเกิน!”
“ข้ามีวิธีพิเศษน่ะ” หลินซูเหยายิ้มน้อย ๆ นี้อาจเป็นข้อดีก็ได้นางไม่ต้องอธิบายมากมายให้เขาเข้าใจ
ทั้งสองนั่งกินบะหมี่อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางแสงสลัวของไฟในเตา เซียวจินหานกินอย่างเอร็ดอร่อย ชามของเขาเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว
“อร่อยจริง ๆ” เขาพูดพลางยกชามขึ้นดื่มน้ำซุปจนหมด “ขอบคุณเหยาเหยา”
หลินซูเหยาพยักหน้า จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลายอย่างปนกัน ทั้งสงสาร และเวทนา
“พรุ่งนี้ข้าจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้เจ้ากินอีก”
เซียวจินหานยิ้มกว้าง เขาวางชามลงแล้วพยักหน้ารัวๆ “ดีๆ เหยาเหยาน่ารักที่สุดเลย”
ทันใดนั้นเสียงแจ้งเตือนเบา ๆ ก็ดังขึ้นในหัวของนาง
ติ้ง!
[ขอแสดงความยินดี ผู้ใช้ได้ใช้สินค้าช่วยเหลือผู้อื่นครั้งแรก ได้รับแต้มสะสม 10 แต้ม]
หลินซูเหยาเหลือบมองชายหนุ่มที่กำลังพูดจาไร้สาระอีกครั้ง ในใจของนางเต็มไปด้วยคำถามว่าทำไมนางถึงได้มาอยู่ในร่างของสตรีที่แต่งงานกับชายปัญญาอ่อนผู้นี้กันนะ
แต่สิ่งหนึ่งที่นางสัมผัสได้คือ ชายหนุ่มตรงหน้านี้ แม้จะดูเหมือนคนสติไม่สมประกอบ แต่เขามีจิตใจที่อ่อนโยน
