บทที่18 น้องชายรองกลับบ้านแล้ว
สามวันแล้วที่เมื่อได้ข่าวว่าน้องชายรองของสามีจะกลับมา กัวเหม่ยอิงก็ให้หล่อนทำความสะอาดห้องนอน ส่วนเสี่ยวหนิงที่อยู่ในความดูแลของน้องสะใภ้รอง กัวเหม่ยอิงก็เอามาดูแลระหว่างที่สะใภ้รองกำลังยุ่ง
ส่วนบ้านกัวตอนนี้กลับไปลงแปลงนาแล้วเพราะถึงวันเก็บเกี่ยว และหลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จกัวเหม่ยอิงก็จะคุยกับพี่ชายและพี่สาวเรื่องจะต้องแต่งาน เพราะช่วงนี้เธอก็ไม่ค่อยจะว่างจึงไม่ได้ไปคุย
“จ๊ะเอ๋!”
“แอ้!”
กัวเหม่ยอิงหัวเราะให้หลานสาวที่ทำหน้าตกใจเมื่อเธอเล่นด้วย โดยที่มีเสี่ยวลู่นอนหลับอยู่ข้าง ๆ กัน เมื่อคืนหล่อนไม่ยอมนอนทั้งคืนตอนนี้ก็เลยหลับไป ส่วนเสี่ยวหนิงตื่นได้สักพักแล้ว กัวเหม่ยอิงไม่มีอะไรทำจึงนั่งเล่นกับหลานสาวแทน
“แอะ! แอะ” หานเผยหนิงเป่าน้ำลายเล่นจนกัวเหม่ยอิงต้องยื่นมือเอาผ้ามาเช็ดให้
เธอส่ายหน้าพลางลางหัวเราะ “ประท้วงคุณป้าเหรอจ๊ะ” ไม่ง่ายเลยที่จะเห็นกัวเหม่ยอิงในด้านนี้
เพราะเธอต้องออกไปนู่นนี่ตลอดทั้งวันจึงไม่ค่อยได้ใช้เวลากลับเด็ก ๆ ส่วนมากถ้าว่างเด็ก ๆ ก็หลับกัน แต่พอเด็ก ๆ ตื่นกัวเหม่ยอิงก็ไม่ว่างแล้ว
“หล่อนคงจะหิวแล้ว” เป็นสะใภ้รองที่เข้ามาหลังทำงานบ้านเสร็จ
กัวเหม่ยอิงพยักหน้าแล้วส่งหลานสาวให้สะใภ้รอง “ให้หล่อนกินนมเถอะ”
“ได้ค่ะ คุณแม่กินข้าวเสร็จแล้วนะคะ อีกสักพักพี่อย่าลืมเอาของว่างไปให้คุณแม่” สะใภ้รองบอก
“ได้”
หลังจากที่สะใภ้รองอุ้มหลานสาวออกไปกัวเหม่ยอิงก็นอนเล่นสักพัก แล้วเอาอาหารว่างไปให้แม่สามี จากนั้นจึงกลับมานอนพักที่ห้องเพราะเมื่อคืนแทบจะไม่ได้นอนเลย
แต่นอนพักได้ไม่นานก็ต้องตื่นเพราะได้ยินเสียงเอะอะจากข้างนอก และได้ยินเสียงลูกสาวร้องเพราะตกใจเสียงด้วยจึงต้องตื่น
“มีอะไรกันนะ” กัวเหม่ยอิงขยี้ตาแล้วอุ้มลูกสาวออกจากห้องนอน
ย้อนกลับไปครึ่งชั่งโมงก่อนหน้านี้ หานหรงเหยาหรือที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกว่าเจ้ารองหรืออารองบ้านสามสกุลหานนั้น กลับมาจากกองทัพ
หลังจากที่มีข่าวมาบอกก่อนหน้านี้ว่าได้รับบาดเจ็บหนัก และลูกชายคนโตของบ้านก็พลีชีพไปแล้ว
ตอนแรกหานหรงเหยาจะตรงกลับไปที่บ้านเลย แต่เขาได้รับคำสั่งสุดท้ายจากผู้บังคับบัญชาจึงต้องไปที่กองผลิตของหมู่บ้านก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันควรจะไม่มีอะไรหากคนในหมู่บ้านไม่เห็นและมารุมล้อม กว่าจะฝ่ามาได้และพอถึงบ้านก็มีคนในหมู่บ้านตามมาอีก มันจึงวุ่นวายมาก
“หรงเหยา!”
“คุณ!”
กัวเหม่ยอิงออกมาทันเห็นสะใภ้รองวิ่งเข้าไปกอดน้องชายรองหรือก็คือสามีของหล่อนพอดี จึงเข้าใจทันทีได้ว่าน้องชายรองได้กลับมาแล้ว
แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือมีคนในหมู่บ้านตามมาออที่หน้าประตูนี่แหละจึงรู้สึกหงุดหงิด ไม่ใช่เวลานี้พวกเขาจะต้องเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่หรอกหรือ ทำไมถึงมาที่นี่กันได้ ไม่พอยังพากันเสียงดังเอะอะโวยวายอีกต่างหาก
“น้องชายรอง คุณย่าบอกให้ไปหา”
ไม่รู้ว่าเสียงมาจากใคร แต่ต้องเป็นหนึ่งในคนบ้านใหญ่แน่นอน เพราะทันทีที่พวกเขารู้ว่าน้องชายรองหานกลับมาก็วิ่งไปบอกคุณย่าหาน และก็มีคำสั่งให้เรียกเขาไปด้วย
“มาเอะอะอะไรที่บ้านของฉันกัน ที่บ้านมีทั้งเด็กและคนป่วย” กัวเหม่ยอิงว่า
ด้วยความที่นอนไม่พอหน้าของเธอจึงไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก และในอ้อมแขนของเธอยังมีลูกสาวที่กำลังสะอื้นอยู่
“พูดแบบนี้ก็ไม่ได้นะสะใภ้ใหญ่บ้านหาน อารองกลับมาทั้งทีพวกเราก็ต้องมาหาอยู่แล้ว” หนึ่งในกลุ่มตรงหน้าประตูพูด
“ใช่ ๆ ”
“สะใภ้หลินพูดถูก”
“พวกเราก็แค่อยากมาดู”
กัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ไม่ใช่ว่ากำลังทำงานกันอยู่เหรอคะ? มาที่นี่คณะกรรมการหมู่บ้านคงจะดีใจกันมาก” และยิ่งหัวเราะเสียงดังไปอีกที่เหมือนทุกคนจะนึกขึ้นได้แล้วรีบสลายตัวกลับไปทำงาน
“พากันเข้าบ้านกันก่อนเถอะ พวกนายก็ด้วย” กัวเหม่ยอิงบอกน้องชายสามีแล้วก็น้องสะใภ้ พร้อมกับสหายของน้องชายรองที่ตามมาอีกสามคน
ส่วนเธอก็รีบพาเสี่ยวลู่ที่ตาจะปิดอีกรอบเข้าไปไว้ในห้องแม่สามี แล้วบอกว่าคุยธุระเสร็จจะให้น้องชายร้องเข้าไปหา
เพราะอยากให้สะใภ้รองนั่งคุยกับสามีของหล่อน กัวเหม่ยอิงจึงเป็นคนไปเอาน้ำเย็น ๆ ในโอ่ง แล้วก็ผลไม้ที่เหลือมารับแขกที่ตอนนี้เหมือนห้องโถงของบ้านจะเล็กไปเลย เมื่อมีชายฉกรรจ์เข้ามานั่งในบ้านถึงสี่คน
“ฉันไม่รู้ว่าพวกคุณจะมากันตอนไหนก็เลยไม่ได้ทำกับข้าวไว้ตอนรับ” กัวเหม่ยอิงว่าแล้วนั่งลงเก้าอี้ที่ว่างอยู่
หนึ่งในสามชายฉกรรจ์โบกมือไปมา “ไม่รบกวน ๆ พวกเราเพียงมาส่งหรงเหยาเท่านั้นครับ จะกลับกันแล้ว” เขาว่า
“ได้ยังไงกันคะ เดี๋ยวฉันไปทำกับข้าวให้ก่อน กินข้าวสักมื้อแล้วค่อยกลับดีกว่าค่ะ” เป็นสะใภ้รองที่พูดขึ้นหลังจากพูดคุยกับสามีไปแล้วบ้าง
กัวเหม่ยอิงลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวฉันไปช่วย” เพราะเธอไม่ได้รู้จักกับสหายของน้องชายรอง หรือแม้แต่น้องชายรองเธอก็ไม่ค่อยได้สนิท จึงไม่รู้ว่าจะอยู่ทำไม
แบบนี้แล้วกับข้าวมื้อบ่ายของบ้านสามสกุลหานจึงเชือดไก่อีกสองตัว และเหลือไว้สามตัวให้ออกไข่ให้กิน ไก่ที่เชือดก็นำไปต้มและผัด
ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็เสร็จ หลังจากนั้นพวกเขาก็ขอตัวกลับเพราะจะไปแวะที่อื่นอีก
“เป็นยังไงบ้าง” กัวเหม่ยอิงถามน้องชายรองที่นั่งอยู่ ส่วนสะใภ้รองออกไปล้างจานแล้ว
น้องชายรองก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด “ถ้าไม่ใช่เพราะผม พี่สะใภ้คงได้อยู่กับพี่ใหญ่แล้ว” นี่เป็นเรื่องที่เขาอัดอั้นมานาน
กัวเหม่ยอิงส่ายหัว “เขาคงจะโทษตัวเองหากช่วยนายไว้ไม่ได้” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด และคนในบ้านก็ต่างทำใจไว้แล้วเพราะพ่อสามีก็เคยพลีชีพไป การเป็นทหารมันดีที่มีเงินให้ครอบครัวแต่ก็เสี่ยงต่อชีวิตเช่นกัน
กัวเหม่ยอิงนั่งปลอบน้องชายรองจนสะใภ้รองเข้ามาในบ้านนั่นแหละจึงหยุดปลอบ แล้วให้พวกเขาไปคุยกันเอง ส่วนตัวเธอก็ขอตัวไปพักผ่อนเพราะเริ่มไม่ไหวแล้ว
และทุกคนก็ลืมไปเลยว่ามีคนบอกว่าคุณย่าหานต้องการจะพบ คุณย่าหานที่นั่งรอหลานชายตั้งแต่บ่ายจนดึกจึงโกรธมาก แต่ก็ไม่ได้ไปที่บ้านสามเพราะคุณย่าหานไม่อยากเจอหน้าสะใภ้ใหญ่ของบ้าน ที่มีอิทธิพลที่สุดในตอนนี้
สะใภ้รองยังเป็นคนเลี้ยงเสี่ยวหนิงเหมือนเดิมเพราะแม่สามีเป็นไข้ พวกเธอจึงต้องแยกเด็ก ๆ ออกมา ส่วนวันนี้ก็ครบหนึ่งสัปดาห์ที่น้องชายสามต้องกลับบ้าน
และถึงกำหนดที่ต้องเริ่มสร้างบ้านกันแล้ว
“นึ่งซาลาเปาเผื่อบ้านกัวด้วยนะ” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่กำลังนึ่งซาลาเปารอคนงานมาถึง
จริง ๆ พวกเธอไม่ต้องทำอะไรให้คนงานเพราะข้อตกลง และค่าใช้จ่ายพวกเธอได้จ่ายไปหมดแล้ว แต่พวกเขามาทำงานให้พวกเธอ กัวเหม่ยอิงกับสะใภ้รองก็เลยจะทำซาลาเปาให้ทุกคน
“ได้ค่ะ” สะใภ้รองพยักหน้า
ช่วงนี้หล่อนอารมณ์ดีมากเพราะสามีกลับมาอยู่บ้านแล้ว แต่แผลของเขาก็ยังไม่ได้หายดีขนาดนั้น หล่อนจึงให้เขาพักอยู่ในห้องไปอีกจนกว่าจะไม่มีอาการเจ็บจริง ๆ และมันเป็นคำแนะนำของกัวเหม่ยอิงด้วย
ส่วนเรื่องการสร้างบ้านใหม่นั้นน้องชายรองตกใจมากเพราะไม่คิดว่าพี่สะใภ้จะสร้าง และตอนแรกเขาจะแย้งเพราะคิดว่าไม่มีเงินพอที่จะสร้าง แต่ก็แย้งไม่ได้แล้วเพราะจ่ายค่าใช้จ่ายไปแล้ว และในข้อตกลงหากจะยกเลิกสัญญาจะคืนเงินเพียงครึ่งเดียว ซึ่งแน่นอนว่ากัวเหม่ยอิงไม่ยอมยกเลิก
“เราคงต้องให้น้องชายสามกลับมาอยู่ที่บ้าน” หากเป็นไปได้กัวเหม่ยอิงก็อยากให้เขาทำงานในอำเภอ เพราะอย่างน้อยก็คงมีเงินจุนเจือครอบครัว
แต่ถ้าน้องชายสามทำงานใครจะดูแลเสี่ยวหนิง เพราะตอนนี้สะใภ้รองมีสามีที่ต้องดูแลอีกคนไหนจะแม่สามี ส่วนกัวเหม่ยอิงก็ต้องไปดูบ้าน ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือต้องให้น้องชายสามกลับมาอยู่ที่บ้านก่อน
หรือไม่ก็คงต้องให้น้องชายสามแต่งภรรยามาเลี้ยงเสี่ยวหนิง ซึ่งไม่รู้ว่าหล่อนจะยอมดูแลเสี่ยวหนิงจริง ๆ หรือเปล่า
“ไม่รู้ว่าเขาจะยอมหรือเปล่า” สะใภ้รองว่า
“ยอมไม่ยอมก็ต้องยอม”
“น่าเสียดายนะคะที่เรียนจบแล้วไม่ได้ทำงาน” สะใภ้รองถอนหายใจ
ทุกคนต่างต้องการที่จะเรียนเพราะมันหางานง่ายกว่าคนที่ไม่ได้เรียน แต่น้องชายสามต้องกลับมาอยู่ที่บ้านแล้วเลี้ยงลูก ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะไปทำงานแล้วให้ภรรยาเลี้ยงลูก
“อืม” กัวเหม่ยอิงเข้าใจ
หลังจากกินข้าวมื้อเช้าไปแล้วกัวเหม่ยอิงก็ไปซักผ้าให้ลูกสาว โดยมีสะใภ้รองซักผ้าให้หลานสาวอย่างเสี่ยวหนิงด้วย
และนอกจากผ้าของเด็กทั้งสองแล้วยังมีเสื้อผ้าของพวกเธออีก ทั้งสองจึงชวนกันไปซักที่แม่น้ำของหมู่บ้านเพราะจะได้ไม่ต้องหิ้วน้ำหนัก ๆ
อันที่จริงกัวเหม่ยอิงซักผ้าแทบจะนับครั้งได้ เพราะส่วนมากตื่นเช้ามาทีไรสะใภ้รองก็เอาผ้าไปซักแล้ว ไม่ก็เวลาที่เธอหลับพักผ่อนช่วงสาย ๆ สะใภ้รองก็มาเอาไปซัก
“เราควรจะซื้อชุดใหม่ได้แล้ว” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รอง
พวกเธอมีชุดใหม่เพียงคนละสองชุด จริง ๆ แทบจะเรียกว่าชุดใหม่ก็ไม่ได้ มันเป็นชุดที่ใช้มาแล้วสามปี แต่มันเป็นชุดที่เอาไว้ใส่เข้าอำเภอมันถึงยังใหม่อยู่
สะใภ้รองส่ายหัว “เราไม่มีคูปองผ้าไม่ใช่เหรอคะ?” เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้มีคูปองอุสาหกรรม คูปองอาหารและของใช้บางอย่าง แต่ไม่รู้ว่ามีคูปองผ้าด้วยเพราะกัวเหม่ยอิงไม่เคยพูด
“ใครบอกกัน มันมีอยู่แหละฉันแค่ยังไม่เห็นเสื้อผ้า” กัวเหม่ยอิงพูดเรื่องจริง
ตั้งแต่ที่เธอมาที่นี่เธอยังไม่เห็นที่ไหนขายเสื้อผ้าเลย เธอเห็นแต่ผ้าที่ต้องมาตัดเย็บเองและแน่นอนว่ากัวเหม่ยอิงไม่มีฝีมือ อีกอย่างเธอก็ไม่มีจักรเย็บผ้าด้วย จึงไม่กล้าที่จะตัดเสื้อเอง
“ช่วงนี้คงไม่มีค่ะ แต่ช่วงกลางปีจะมีหากไปซื้อทัน” เพราะปีหนึ่งสหกรณ์ขายเพียง 100 ตัวเท่านั้น ใครทันคนนั้นก็ได้ก่อน และตัวหนึ่งมีราคาไม่ต่ำกว่า 10 หยวน
“หรือเราจะซื้อจักรเย็บผ้าดี” กัวเหม่ยอิงว่าอย่างออกความคิด
นอกจากเสื้อผ้าของพวกเธอแล้วยังมีของแม่สามี น้องชายรอง น้องชายสาม ไหนจะเด็ก ๆ อีกที่ควรจะต้องเปลี่ยนผ้ากัน และเรื่องนี้กัวเหม่ยอิงก็ลืมคิดไปจริงๆ เเพราะมัวแต่คิดบำรุงร่างกายของแม่สามี
“เป็นความคิดที่ดีนะคะ” สะใภ้รองว่าอย่างเห็นด้วยเพราะหล่อนได้ตัดเสื้อให้คนในบ้านใหญ่ทุกปีจึงพอมีฝีมือ
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “เดี๋ยวให้น้องชายสามไปถามสหายดู”
วันนี้น้ำในแม่ใสมากเพราะไม่มีใครมากวนน้ำให้ขุน ในตอนที่กัวเหม่ยอิงกำลังซักผ้าเธอจึงเห็นสัตว์ในน้ำอย่างกุ้งกับปูพอดี
กัวเหม่ยอิงอุทาน “ที่นี่มีกุ้งด้วย?” เพราะบริเวณนี้กัวเหม่ยอิงไม่ค่อยได้มาจึงไม่รู้ว่ามีสัตว์น้ำที่นี่ด้วย ไหนจะเป็นที่ขาวบ้านมาทุกวันอีกจึงแปลกมากที่มันยังเหลือ หรือไม่มีใครกิน
“ไม่หรอกค่ะ ส่วนมากถูกจับไปปรุงอาหารหมดแล้ว รอบ ๆ นี้จึงไม่มีกุ้งหรือสัตว์อย่างอื่นมาอยู่นานแล้ว” สะใภ้รองถอนหายใจ
แต่ก่อนที่นี่มีของกินเยอะมาก แต่เพราะความขาดแคลนอะไรที่สามารถกินได้ทุกคนก็จะไปหามากิน จากที่เยอะ ๆ จึงลดลงทีละเล็กละน้อย จนสุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้กินสัตว์ในน้ำที่นี่เลย
