บทที่16 แม่ม่ายลู่
บ้านกัวใช้เวลาถอนหญ้าและเก็บกวาดซากต่าง ๆ ในเขตที่ดินจนสะอาดเป็นเวลาเกือบสิบวัน และวันนี้พวกเขาจะทำคอกเลี้ยงสัตว์ให้ใหม่ ไม่ใช่ว่ามันพังแต่มันมีรูอยู่บ้างจึงจะทำให้ และบอกว่าวันนี้ไม่รับค่าจ้าง
ซึ่งสมาชิกบ้านกัวมีกันอยู่หกคน กลัวเหม่ยอิงจึงนับค่าจ้างให้วันละ 1 หยวน และเมื่อคิดว่ายังไงก็จะสิบวันแล้วก็เลยจะให้ 10 หยวนต่อคนเป็นค่าจ้าง สรุปก็คือค่าจ้างทั้งหมด 60 หยวน
และแน่นอนว่าบ้านกัวคิดว่าลูกสาวจะให้ค่าจ้างวันละ 1 เหมา จึงไม่ได้คุยเรื่องราคาตั้งแต่แรก และตลอดระยะที่ทำงานให้ลูกสาวคนเล็กของบ้านส่วนมากแม่กัวจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนแม่สามีของเธอ
และกัวเหม่ยอิงกับสะใภ้รองก็พากันออกไปช่วยทุกคนทำงาน อย่างเช่นวันนี้ที่แม่กัวต้องไปเลี้ยงลูกสาวให้เธอและอยู่เป็นเพื่อนแม่สามี
“ฉันว่าพี่รองต้องขยับมาอีกตรงนี้” กัวเหม่ยอิงชี้มือให้พี่ชายรองของเธอขยับไม้ตามที่เธอต้องการ
พี่ชายรองมองแล้วถาม “พี่ว่ามันใหญ่เกินไปไหมน้องสาวห้า” ตอนนี้พวกเขากำลังล้อมพื้นที่แปลงผักไว้ จึงต้องใช้ไม้สักไว้รอบ ๆ
กัวเหม่ยอิงส่ายหัว “มันไม่ใหญ่ค่ะ กำลังพอดีแล้ว” เธอตอบ
เนื่องจากยังไม่สร้างบ้านและยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่กัวเหม่ยอิงจึงยังไม่ได้จะปลูกผัก และวันนี้เธอจึงล้อมที่จะทำแปลงผักเอาไว้ก่อน
“น้ำค่ะ” สะใภ้รองยื่นแก้วน้ำที่ทำจากไม้ไผ่มาให้กัวเหม่ยอิงที่มาช่วยพี่ชายทำงานในตอนที่แดดกำลังร้อน
“ขอบใจ พรุ่งนี้เธอเข้าเข้าไปอำเภอด้วยหรือเปล่า” กัวเหม่ยอิงถามสะใภ้รอง
เมื่อวานตอนเย็นน้องชายสามมาที่บ้านและบอกว่าอิฐนั้นมาส่งก่อนกำหนด จึงต้องการให้เธอเข้าไปเซ็นสัญญาและเผื่อต้องการจ้างพวกเขาสร้างบ้านให้ด้วยเพราะตอนนี้คิวยังว่างจึงควรจะเข้าไปถาม ซึ่งวันนี้เป็นวันหยุดของที่นั่น เธอจึงไม่ได้ไปและเลือกที่จะไปพรุ่งนี้แทน
สะใภ้รองพยักหน้า “อาหารแห้งหมดแล้วค่ะ ฉันจะไปซื้อเพิ่ม” อันที่จริงเธอไม่อยากให้พี่สะใภ้เข้าอำเภอไปคนเดียวเพราะหลายคนในหมู่บ้านเริ่มนินทาว่าพี่สะใภ้เข้าอำเภอบ่อย ๆ เพราะมีผู้ชาย
ทั้งที่จริงแล้วที่พี่สะใภ้เข้าอำเภอก็เพราะไปซื้อของมาทำกับข้าว ให้แม่สามีและบ้านกัวที่ทำงานให้ ไหนจะเอาหน่อไม้ต้มไปขายอีก ซึ่งตอนแรกเธอก็ตกใจเพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าในช่วงนี้ไม่สามารถซื้อขายได้
แต่พอพี่สะใภ้อธิบายหล่อนก็เข้าใจ และต้องบอกว่าหน่อไม้นั้นขายดีมาก เพราะเกือบสิบวันที่ผ่านมากัวเหม่ยอิงเข้าอำเภอไป 4 ครั้ง แต่ขายหน่อไม้ต้มได้ 7 ไห เป็นจำนวนเงินที่ได้มา 7 หยวน แม้จะไม่พอค่ากินในแต่ละวันแต่มันก็คงจะดีกว่าไม่มีรายได้
และที่บ้านไม่มีที่เก็บไหหน่อไม้แล้วจึงหยุดนึ่งหน่อไม้ไปอีกสักพัก ให้ของในบ้านเริ่มหมดหรือสร้างบ้านเสร็จค่อยเริ่มทำใหม่
“ได้ยินน้องชายสามบอกว่าจะจบแล้วทางโรงเรียนจึงจะพาไปดูงานที่อื่น” กัวเหม่ยอิงส่งแก้วน้ำคืนแล้วพูดต่อ “ยังไงก็ช่วยเตรียมของให้เขาทีนะ”
ตอนนี้กัวเหม่ยอิงคิดว่าสะใภ้รองเป็นน้องสาวของเธอไปแล้วแม้จะอายุเท่ากัน และน้องชายสามก็เหมือนน้องชายของเธอกับสะใภ้รองจริง ๆ อีกอย่างเขาก็เคารพเธอทั้งสองที่เป็นพี่สะใภ้
“ได้ค่ะ จะกลับเลยไหมคะ” สะใภ้รองถามเพราะเห็นว่ามันเป็นช่วงที่แดดกำลังแรง
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “กลับเลยก็ได้” แล้วหันไปบอกพี่ชายคนรอง “ฉันกลับแล้วนะคะ พี่ก็พาคนอื่น ๆ พักกันด้วย อย่าพากันโหมงานมาก” กัวเหม่ยอิงบ่น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบ้านกัวดีเกินไปหรือพวกเขาเกรงใจบ้านลูกสาวอย่างเธอ เวลาทำงานหากเป็นไปได้พวกเขาก็จะไม่พากันพักเลย ซึ่งสามวันแรกเธอได้บ่นพวกเขาไป ช่วงหลัง ๆ พวกเขาจึงพากันพักบ้างแต่มันเป็นในยามที่เธออยู่ด้วย
“รู้แล้ว”
“รู้แล้วทุกวันแต่พอฉันกลับก็ไม่พากันพัก” เธอบ่นอีกรอบ
กัวเหม่ยอิงบิดขี้เกียจพร้อมกับหาวหลังอาบน้ำเสร็จ ทุกครั้งที่เธอออกไปดูบ้านกัวทำงานแล้วกลับมาบ้าน เธอจะอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย เพราะต้องไปดูแลลูกสาวที่ยังเล็ก จึงต้องทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา
“คุณแม่กลับไปพักก็ได้เลยนะคะ เดี๋ยวฉันดูยัยหนูต่อเอง” กัวเหม่ยอิงบอกแม่กัวเมื่อรับลูกสาวมาอุ้ม
แม่กัวปฎิเสธ “ได้ยังไงกัน ลูกควรจะพักผ่อนให้มาก ๆ แค่หลานแม่เลี้ยงได้”
“จริงสิ งั้นแม่ก็เข้ามาในห้องก่อนค่ะ ฉันจะเอาเงินค่าจ้างให้” กัวเหม่ยอิงว่าเมื่อนึกขึ้นได้
เธอวางลูกสาวลงบนเตียงเตาขนาดเล็กแล้วเปิดตู้เพื่อที่จะเอาเงินค่าจ้างให้เป็นแม่ ถิงถิงเสียดายแทนกัวเหม่ยอิงคนก่อนที่มีครอบครัวที่รักใคร่เธอถึงเพียงนี้ นอกจากนั้นแล้วบ้านกัวยังเป็นคนดีมาก
“นี่เป็นเงินทั้งหมด 60 หยวนค่ะ แม่เอาเก็บไว้แต่งพี่สะใภ้กับพี่เขยเข้าบ้านนะคะ” กัวเหม่ยอิงยื่นถุงเงินให้แม่แล้วบอก
แม่กัวตกใจ “แม่รับไม่ได้หรอก! เงินเยอะขนาดนั้น” นางคิดว่ามาทำงานให้ลูกสาวไม่กี่วันคงจะได้สัก 10 หยวน แต่ไม่คิดว่าลูกสาวจะยื่นให้ถึง 60 หยวน
กัวเหม่ยอิงส่ายหัว “ที่ผ่านมาฉันรบกวนที่บ้านมากพอแล้วค่ะ ที่พี่ชายไม่ได้แต่งพี่สะใภ้ก็เพราะเอาเงินให้ฉันเรียน ที่พี่สาวไม่ได้แต่งงานก็เพราะเอาเงินมาให้ฉันทั้ง ๆ ที่ฉันแต่งออกจากบ้านแล้ว ไหนจะของกินหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมาอีก คุณแม่รับไว้เถอะนะคะ” กัวเหม่ยอิงพูดจบน้ำตาเธอก็เริ่มจะไหล ซึ่งอันที่จริงถิงถิงไม่ได้มีความผูกพันธ์กับบ้านกัวขนาดนั้น คงจะเป็นจิตสำนึกของกัวเหม่ยอิงคนก่อนที่ยังมีอยู่
นี้คงจะเป็นเวรกรรมของกัวเหม่ยอิงคนก่อนที่ทำกับครอบครัว จึงทำให้หล่อนมีอายุสั้นและเป็นถิงถิงที่เข้ามาอยู่แทน
และต้องขอบคุณกัวเหม่ยอิงจริง ๆ ที่ทำให้ถิงถิง ได้รับความอบอุ่นในชีวิตนอกจากผู้เป็นยายที่เลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก
แม่กัวร้องไห้ “โธ่! ลูกสาวห้าเป็นลูกสาวของแม่ เป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัวเรา พวกเราตั้งใจให้ลูกอยู่แล้ว” นางดึงลูกสาวที่สะอื้นเข้ามากอด
“ฉันต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะ และถ้าไม่มากไปแม่เอาเงินพวกนี้ไปด้วย ฉันจะไม่ได้รู้สึกผิดไปมากกว่านี้” เธอไม่ว่าเปล่ายังคว้าเอาถุงที่มีจำนวนเงินอยู่ 100 หยวน ให้ผู้เป็นแม่ด้วย
เงินทุกอย่างที่มีอยู่กัวเหม่ยอิงปรึกษาแม่สามีกับน้องสะใภ้ไปแล้วว่าต้องใช้ทำอะไรบ้าง ตอนแรกเธอจะเพิ่มเงินให้บ้านกัวไป 50 หยวน แต่แม่สามีบอกพวกเราเอามาเยอะแล้ว ให้เอาให้อีก 100 หยวน ซึ่งสะใภ้รองก็เห็นด้วย
“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ฉันปรึกษากับแม่สามีแล้วก็สะใภ้รองแล้ว” กัวเหม่ยอิงว่าเมื่อเห็นแม่กัวลังเล เธอพอจะเข้าใจเพราะแม่กัวคงจะกลัวว่าเธอจะมีปัญหากลับครอบครัวของสามี
แม่กัวถอนหายใจ “เฮ้อ งั้นแม่ก็จะรับเอาไว้ให้พี่ชายกับพี่สาวลูกก็แล้วกัน”
แม่กัวรู้สึกผิดกับลูกสาวอีกสองคนหลังจากที่ลูกสาวคนเล็กกลับบ้านในครั้งนั้น ลูกชายของนางนั้นนางไม่ค่อยห่วงเพราะพวกเขาต้องอยู่กับนางและสามีอยู่แล้วเป็นปกติ แต่ไม่ใช่กับลูกสาวอีกสองคนที่ต้องแต่งออกจากบ้านไป
ตั้งแต่ที่คลอดลูกสาวคนเล็กนางก็ดูแลลูกสาวคนเล็กเป็นอย่างดี งานบ้านก็แทบจะไม่ได้ทำ อีกอย่างยังส่งหล่อนเข้าเรียนจนทำให้พี่ชายพี่สาวไม่ได้แต่งงานกัน
“แม่กับพ่อคิดว่าจะแต่งแม่ม่ายลู่ให้พี่ชายใหญ่ของลูก” แม่กัวบอกกับกัวเหม่ยอิง
แม่ม่ายลู่นั้นอายุพอ ๆ กับกัวเหม่ยอิง หล่อนแต่งงานเมื่อสี่ปีก่อน แต่เพิ่งจะหย่าไปเมื่อสองปีที่แล้วเพราะถูกสามีตบตี ด้วยความที่บ้านลู่อับอายที่ลูกสาวหย่ากับสามีทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครทำมาก่อน พวกเขาจึงไม่รับลูกสาวกลับบ้านเดิมและตัดขาดกับแม่ม่ายลู่ ทำให้หล่อนต้องแยกออกมาอยู่คนเดียวที่ท้ายหมู่บ้าน
ถ้าถามว่าทำไมต้องเป็นแม่ม่ายลู่ ก็คงเป็นเพราะนางกับสามีเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว และเคยไปขอมาให้ลูกชายคนโต แต่ถูกครอบครัวลู่ปฎิเสธและให้หล่อนแต่งงานไปพวกนางจึงทำอะไรไม่ได้ และหลังจากที่แม่ม่ายลู่หย่า แม่กัวก็เคยมีความคิดที่จะให้แต่งกับลูกชาย แต่เพราะกลัวลูกสาวจะอับอายและมีปัญหากับครอบครัวสามีนางกับสามีจึงไม่ได้ไปถาม
แต่เมื่อลูกสาวพูดแบบนั้นสัปดาห์ก่อนนางจึงไปถามแม่ม่ายลู่ และนางก็ยินดีที่จะแต่งเข้าบ้านกัว ในขณะที่แม่ม่ายอีกหลายคนที่แม่กัวไปถามพวกนางไม่ยินยอมที่จะแต่งเพราะคิดว่าบ้านกัวจนเกินไป
กัวเหม่ยอิงนึกถึงแม่ม่ายลู่แล้วเอ่ย “ดีแล้วค่ะ ชีวิตหล่อนน่าสงสารมาตั้งแต่เล็ก ถ้ายินดีที่จะแต่งให้พี่ชายใหญ่ฉันว่ามันก็ดีแล้ว” และจากในความทรงจำที่มี แม่ม่ายลู่ก็เป็นเหมือนกับสหายของกัวเหม่ยอิง
“แต่ลูกไปพูดกับพี่ใหญ่ลูกให้ที” แม่กัวว่าเมื่อนึกขึ้นได้
เพราะลูกชายคนโตของบ้านกัวมีความคิดที่จะไม่มีภรรยาตั้งนานแล้ว แม่กัวพูดกับเขาไปวันก่อนจึงถูกปฎิเสธแล้วบอกตัวเองแก่แล้วไม่ควรจะมีเมีย ให้แต่งให้น้องชายรองจะดีกว่า
กัวเหม่ยอิงหัวเราะ “เดี๋ยวฉันจะไปคุยให้นะคะ แล้วพี่ชายรอง พี่สาวใหญ่แล้วก็พี่สาวรองล่ะค่ะ คุณแม่ดูไว้หรือยัง” เธอถามต่อ
“ก็มีดูไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ไปถามเพราะเหมือนทุกคนไม่ต้องการ” แม่กัวถอนหายใจอีกครั้งด้วยความเศร้า
ลูก ๆ ของนางมีความคิดที่ว่าแก่แล้ว ไม่ต้องแต่งงานแล้วก็ได้ เวลาที่นางจะถามว่าพอจะมีคนในใจหรือไม่พวกเขาก็จะพากันบ่ายเบี่ยงและสุดท้ายก็ไม่ได้พูดกัน
“เอาไว้พรุ่งนี้ฉันจะลองคุยดูนะคะ” กัวเหม่ยอิงว่าเสียงเบา แม่กัวรู้ทันลูก ๆ ว่าพวกเขาจะไม่ยอม จึงให้ลูกสาวคนเล็กอย่างเธอเป็นคนไปพูด เพราะทุกคนยอมเธอทุกอย่างตั้งแต่เตรียมจะพูดแล้ว
“ได้”
“ก่อนกลับแม่ก็เอาแตงโมไปด้วยนะคะ อยู่ในโอ่งน้ำหลังบ้าน” กัวเหม่ยอิงบอกแม่กัวทันทีที่บอกจะกลับเพราะเห็นลูกสาวตาจะปิด
“ได้ ๆ แม่รู้แล้ว” แม่กัวว่า
ตลอดระยะเวลาที่นางมาดูแลหลานสาวและอยู่เป็นเพื่อนแม่สามีของลูกสาว
เวลานางกลับบ้านในตอนเย็นก็จะได้ของติดมือไปด้วย ช่วงแรก ๆ ก็ได้ยินเสียงคนนินทา แต่หลัง ๆ นางก็ชินแล้วแหละ
มื้อเย็นสะใภ้รองตุ๋นไก่ที่ถูกเชือดหนึ่งตัว แล้วก็มีไข่ผัดแตงกวาอีกจานเป็นอาหารมื้อเย็น ตอนนี้แม่สามีเริ่มมีเนื้อมีหนังเพิ่มขึ้นมาแล้ว หน้าที่เคยซูบตอนนี้เริ่มมีเลือดฝาดเพราะได้รับการบำรุงจากลูกสะใภ้ทั้งสอง
เสี่ยวลู่น้อยกับเสี่ยวหนิงตัวน้อยนั้นแก้มป่องกันมากและเริ่มจะกินเก่งขึ้นทุกวัน และพรุ่งนี้พวกเธอคงจะต้องไปซื้อนมมาตุนไว้อีกแล้ว
“น้องชายสามได้บอกไหมคะว่าจะไปนานหรือเปล่า” สะใภ้รองถาม
เพราะเหมือนทางโรงเรียนต้องการให้นักเรียนรุ่นนี้มีงานทำ พวกเขาจึงมีนโยบายให้นักเรียนไปศึกษานอกสถานที่ ทั้งที่จริง ๆ แล้วต้องการให้พวกเขาไปดูงานที่ชอบ
“คงจะหนึ่งสัปดาห์” กัวเหม่ยอิงส่ายหัว น้องชายสามบอกเพียงจะไปอีกสามวันข้างหน้าเท่านั้น
