บทที่15 หน้าคุ้น ๆ
กัวเหม่ยอิงมองรอบ ๆ ตัว ในสถานที่ที่ไฉ่หูอ้ายพามา น่าจะเป็นที่เก็บอุปกรณ์การก่อสร้าง เพราะนอกจากอิฐแล้วที่นี่ยังมีเหล็ก ไม้ เสา ดินและหินอีกมากมาย ซึ่งมันพร้อมที่จะใช้สร้างบ้านได้เลย แต่ไม่รู้ว่าของพวกนี้มีคนจองไปหรือยัง
“ที่นี่ปลอดภัยใช่ไหม” กัวเหม่ยอิงกระซิบถามน้องชายสาม เพราะที่นี่มันเงียบมากแม้จะเป็นวันหยุดเธอจึงระแวงไปบ้าง
น้องชายสายพนักหน้า “ปลอดภัยครับ ผมมาที่นี่บ่อย ๆ อาจจะเพราะเป็นวันหยุดที่ไม่มีคนทำงานเลยมันจึงเงียบ”
ด้วยความที่กำแพงสูงถึงสองเมตรและมีประตูที่แน่นหนา วันหยุดของคนงานที่นี่จึงไม่จำเป็นที่ต้องจะเฝ้า ที่พ่อของสหายเขาอยู่ที่นี่ก็เพราะเขาเป็นหัวหน้าคนงานจึงต้องอยู่ดูเอกสารต่าง ๆ และบางครั้งเขากับสหายก็ได้เข้ามาช่วย
กัวเหม่ยอิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน เมื่อไฉ่หูอ้ายเดินออกมากวักมือเรียกให้เข้าไปข้างใน
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง” เป็นชายวัยกลางคนที่เอ่ยทักพวกเธอก่อน คนนี้คงจะเป็นพ่อของไฉ่หูอ้ายเพราะมีใบหน้าคล้ายคลึงกันบ้าง
“สวัสดีค่ะหัวหน้าไฉ่” กัวเหม่ยอิงตอบ
หัวหน้าไฉ่ยื่นกระดาษให้กัวเหม่ยอิงอ่านมัน “หูอ้ายบอกผมว่าพี่สะใภ้ของหรงอี้ต้องการอิฐจึงต้องการให้ผมเก็บอิฐไว้ แต่ไม่รู้ว่าพวกคุณจะต้องการเยอะแค่ไหน”
กัวเหม่ยอิงพยักหน้าเมื่ออ่านเอกสารคร่าว ๆ “ฉันต้องการสร้างบ้านใหม่ค่ะ ประมาณแปดห้องนอน หนึ่งห้องโถงและหนึ่งห้องครัว”
การสร้างบ้านครั้งนี้ถือว่าเป็นการสร้างบ้านครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้ ห้องของแม่สามีหนึ่งห้อง ห้องของเธอกับลูกสาวหนึ่งห้อง ห้องของสะใภ้รองกับน้องชายรองหนึ่งห้อง ห้องของน้องชายสามอีกหนึ่งห้อง ส่วนสามห้องที่เหลือกัวเหม่ยอิงสร้างห้องเผื่อลูกสาวกับหลานสาวเอาไว้ ลูกสาวของเธอไม่เท่าไร เพราะหล่อนสามารถพักกับเธอได้ แต่หลานสาวนั้นถ้าจะให้พักกับพ่อก็คงจะไม่ได้เพราะหล่อนต้องโตขึ้นตลอด ไหนจะลูกของน้องชายรองกับสะใภ้รองในอนาคตอีก
หัวหน้าไฉ่ตะลึง “เยอะเพียงนั้น!?” อย่างมากคนที่มาซื้ออิฐพวกเขาก็ซื้อสำหรับสร้างหนึ่งห้องเท่านั้น
“ค่ะ ฉันต้องการสร้างบ้านให้เสร็จก่อนฤดูหนาว เป็นไปได้ยิ่งเสร็จเร็วก็ยิ่งดี” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
“ผมขอเวลาคำนวนอิฐก่อน แต่ยิ่งใช้อิฐมากราคาก็ยิ่งจะสูงขึ้น” หัวหน้าไฉ่บอก
“ฉันรู้ค่ะ แต่ก่อนจะซื้อฉันต้องการดูอิฐที่จะซื้อด้วยค่ะ”
“ได้! หูอ้ายพาพวกเขาไปดู” หัวหน้าไฉ่ตกลง
ไฉ่หูอ้ายพาพวกเธอเดินไปดูอิฐตามคำสั่งของคนเป็นพ่อพร้อมกับคำแนะนำ เพราะเขาโตมากับที่นี่จึงไม่แปลกที่จะรู้จักราคาหรือรายละเอียดสินค้าต่าง ๆ
“เดือนนี้ของเพิ่งจะหมดไปครับ อีกไม่กี่วันคุณพ่อก็จะเปิดรับจองอิฐอีก แต่ที่เห็นอยู่ตรงนี้เป็นอิฐที่เก็บไว้ให้” ไฉ่หูอ้ายแนะนำ
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า“จับดูได้ไหม” เธอกลัวว่าจะห้ามจับ
“ได้ครับ” ไฉ่หูอ้ายพยักหน้า
อิฐที่กัวเหม่ยอิงได้สัมผัสนั้นเป็นอิฐที่เหมาะสำหรับการสร้างบ้านมาก ได้ยินน้องชายสามบอกว่าอิฐที่นี่เป็นอิฐที่ส่งตรงจากปักกิ่ง จองเดือนนี้ของอาจจะถึงอีกสามเดือนข้างหน้า เพราะแบบนี้แล้วจึงต้องลงชื่อจองไว้พร้อมกับมัดจำจำนวนเงินมากกว่าครึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าหากของมาส่งแล้วเราก็จะได้เลย ต้องรอให้คนดูแลเรื่องอิฐแบ่งให้พอจำนวนที่สั่งและหากใครต้องการก่อนก็จะเพิ่มจำนวนเงิน
“แบบนี้แล้วถ้าฉันเอาไปก่อน คนที่สั่งจองเอาไว้ล่ะ” กัวเหม่ยอิงถาม
เพราะเหมือนการจองตอนนี้จะยาวไปถึงปีใหม่เลย แต่ถ้าเธอไม่เอาอิฐตอนนี้เธอก็คงจะต้องรอถึงปีหน้า และแน่นอนว่าเธอรอนานขนาดนั้นไม่ได้
“ทุกเดือนคุณพ่อจะสั่งมาเกินไว้ครับ” ไฉ่หูอ้ายกระซิบ
เป็นเรื่องปกติสำหรับยุคนี้ที่หากมีเส้นสายก็จะได้รับมากกว่าคนอื่น และทุกคนต่างดิ้นรนเพื่อให้ครอบครัวสุขสบาย การที่หัวหน้าไฉ่สั่งอิฐมาเกินจำนวนการสั่งจองเกินถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดมาก เพราะจำนวนที่ลงในบันทึกมีแค่จำนวนที่สั่งจองเอาไว้ แต่ใบสั่งจองนั้นเขาเพิ่มขึ้นมาอีก แต่ถึงจะผิดสำหรับทางเบื้องบนแต่หากมีเส้นสายหน่อย หรือทำงานมานานพวกเขาย่อมมีทางรอดให้ตัวเอง
“1 ห้องใช้อิฐประมาณ 400 ก้อน 8 ห้องก็ประมาณ 3,200 ก้อนครับ แต่ห้องโถงกับห้องครัวอาจจะต้องเพิ่มจำนวนก้อนไปอีก รวม ๆ แล้วก็คงจะใช้อิฐไม่ต่ำกว่า 4,500 ก้อน” เป็นหัวหน้าไฉ่ที่คำนวนจำนวนอิฐเสร็จเดินมาบอกทุกคนที่กำลังดูอิฐกันอยู่
เพราะกัวเหม่ยอิงบอกขนาดของห้องเอาไว้แล้ว หัวหน้าไฉ่จึงใช้เวลาคำนวนไม่นาน แต่เนื่องจากห้องโถงกับห้องครัวต้องรอดูห้องที่สร้างเขาจึงไม่สามารถคำนวนอิฐที่ตรงได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้จำนวนเขาจึงกะระยะคร่าว ๆ ไว้ให้
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ต้องรอของนานเท่าไหร่คะ เพราะดูเหมือนมันจะไม่พอ”
“อีกสองสัปดาห์อิฐที่สั่งมาน่าจะถึงครับ ผมสามารถเอาให้คุณได้ก่อน แต่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 50 เปอร์เซ็นต์ของราคาจริง ๆ และคูปองอีกจำนวนหนึ่งซึ่งมันต้องใช้เยอะมาก” เพราะของรอบนี้เป็นของหลายเดือนก่อนจึงต้องจ่ายเพิ่มครึ่งหนึ่งของราคา
“วันนี้ฉันไม่ได้เอาเงินมาเยอะขนาดนั้นค่ะ” ตอนแรกเธอคิดว่ามันจะใช้อิฐไม่เยอะมากก็เลยไม่ได้เอาเงินมาเผื่อเยอะ อีกอย่างการถือเงินไปไหนมาไหนด้วยก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี
หัวหน้าไฉ่พยักหน้า “เราทำสัญญากันไว้ก่อนก็ได้ครับ ของมาถึงเราค่อยคุยกันอีกที”
กัวเหม่ยอิงมองแผ่นกระดาษในมือ ในกระดาษนั้นมีข้อความระหว่างเธอกับหัวหน้าไฉ่เรื่องจะเซ็นสัญญาซื้อขายอิฐเมื่ออิฐมาถึง วันนี้มีเพียงเอกสารการซื้อคร่าว ๆ เท่านั้น รอให้ของมาถึงค่อยเข้าไปคุยอีกที
“พวกฉันคงต้องกลับแล้ว” กัวเหม่ยอิงบอกน้องชายสามหลังปั่นจักรยานกลับมาถึงห้องพัก
น้องชายสามพยักหน้า “ผมจะรีบกลับไปนะครับ”เขาหมายถึงหากเรียนจบเขาก็จะกลับบ้านทันที
“อือ” กัวเหม่ยอิงพยักหน้าแล้วหันกลับมาคุยกับสะใภ้รอง “เราไปหาซื้อของกันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นสักก่อน”
“ได้” สะใภ้รองเห็นด้วย
สหกรณ์ในอำเภอเป็นสถานที่ที่ผู้คนเข้าตลอดทุกวัน เพราะแบบนี้แล้วมันจึงไม่แปลกที่พอเข้าสหกรณ์แล้วจะเห็นชั้นวางของที่ว่างเกือบจะทุกชั้น แต่ก็ยังดีที่บางทีพนักงานก็เดินเอาของมาเติมให้หากมีเวลาว่าง
“คุณผู้หญิงมาพอดีเลยค่ะ! นมผงมาแล้วนะคะเพิ่งถึงเมื่อกี้” พนักงานคนเดิมที่เคยขายนมผงให้เดินเข้ามากระซิบเธอด้วยความยินดี
กัวเหม่ยอิงร้อง “โอ้” แล้วถามพนักงานต่อ “เข้าเยอะมากไหมคะฉันต้องการค่ะ”
ตอนนี้เด็ก ๆ ยังเล็กจึงไม่แปลกที่จะไม่เปลืองนม แต่สักวันเด็ก ๆ ก็ต้องโตขึ้นและดื่มนมมากขึ้น หากเธอจะตุนนมเอาไว้ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับอนาคต อีกอย่างไม่รู้ว่าในอนาคตนมจะมาอีกทีวันไหนหรือราคาจะเพิ่มหรือเปล่า
พนักงานกระซิบตอบ “วันนี้เข้าเพิ่ม 20 กระป๋องค่ะ แล้วก็จะมีเข้ามาอีกทีกลางเดือน 10 กระป๋อง”
การที่หล่อนมาบอกลูกค้านั้นที่จริงไม่ควรจะทำอย่างยิ่ง เพราะลูกค้าคนอื่นต่างก็อยากจะได้ของเหมือนกัน คนที่รู้เวลาจะได้ของก่อนคนอื่นเสมอ แต่สำหรับพนักงานแบบหล่อนที่ได้รับอนุญาตจากผู้จัดการว่าหากคนที่ซื้อนมผงรอบก่อนมาที่สหกรณ์ ให้บอกกับลูกค้าว่าของจะเข้าวันไหนเพราะหากลูกค้ามาซื้อไปพวกหล่อนก็จะได้เปอร์เซ็นต์ในการขายเพิ่ม
“ฉันเอาทั้ง 20 เลยค่ะ รบกวนคุณจัดการให้ด้วยนะคะ” กัวเหม่ยอิงตอบ
พนักงานสาวตกใจก่อนจะรีบวิ่งไปเตรียมของมาให้ เพราะของจำนวนมากจึงต้องตรวจสินค้าก่อน หากมีข้อผิดพลาดหล่อนอาจต้องเป็นคนซื้อสินค้าเอง
สะใภ้รองตกใจกับจำนวนที่พี่สะใภ้ซื้อ “พี่ซื้อเยอะเกินไปแล้ว”
กัวเหม่ยอิงหัวเราะ “เธอลองคิดดูสิหากพรุ่งนี้เราเข้ามาซื้อนมแล้วราคามันเพิ่มขึ้นจะทำยังไง?"
“จากที่จะซื้อ 5 กระป๋อง แต่ราคาของขึ้นจนได้ 4 กระป๋อง กลับบ้านมันคงน่าเสียดายมาก” เพราะแบบนี้การคว้าไว้ก่อนจึงเป็นเรื่องที่ดีมาก
“แบบนั้นมันก็จริงค่ะ แต่เราต้องสร้างบ้านไหนจะค่าจ้างอื่น ๆ อีก” สะใภ้รองกังวล ช่วงนี้พวกเธอใช้เงินกันเยอะจริง ๆ ค่านั่น ค่านี่ รวม ๆ วันหนึ่งค่ากินของพวกเธอก็ไม่ต่ำกว่าสามหยวนแล้ว
“ฉันรู้” กัวเหม่ยอิงจดเอาไว้และแยกจำนวนเงินของที่ต้องใช้ออกจากกัน อันไหนต้องใช้ค่าอะไรเธอก็ไม่เอาไปรวมกับเงินกองกลาง
กัวเหม่ยอิงปล่อยให้น้องสะใภ้เลือกของกินในวันนี้เพราะรอบก่อนเธอเป็นคนเลือกไปแล้ว วันนี้จึงเป็นหน้าที่ของสะใภ้รองในการเลือกซื้อของกินที่จะเอาไปทำกับข้าว
ส่วนตัวเองก็รับหน้าที่หิ้วตะกร้าตามหลังสะใภ้รอง โชคดีที่หน่อไม้ต้มถูกหัวหน้าไฉ่ขอซื้อไปต่อ
เพราะหน่อไม้ที่น้องชายสามเอาไปให้พวกเขากินแล้วมันอร่อยมากเธอจึงไม่ต้องอุ้มให้มันหนัก และเขายังสั่งอีกว่าหากรอบหน้าเข้าอำเภอมาอีกก็เอามาขายให้เขาได้
‘ฉันเห็นก่อน!’
เธอละสายตาจากสะใภ้รองไปไม่นานเพราะเห็นของแปลก ๆ ที่น่าจะอร่อยจึงหันไปดู แต่ไม่รู้ยังไงพอหันกลับมาอีกทีสะใภ้รองก็ปะทะหน้ากับผู้หญิงที่อายุน่าจะราว ๆ ยี่สิบปี
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่รู้ว่าคุณจะหยิบมัน แต่ฉันไม่เห็นว่าคุณจะหยิบก็เลยหยิบมัน” เป็นสะใภ้รองที่พูดขึ้น
หล่อนตวัดสายตามอง “แล้วยังไง? ฉันจะเอาแต่แกมายืนบังแล้วจะให้ฉันหยิบยังไง”
กัวเหม่ยอิงวางของในมือแล้วรีบเดินไปดู เนื่องจากสหกรณ์ก็ไม่ได้ใหญ่มาก พอมีเสียงมันก็ดังขึ้นทั่วสหกรณ์ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหันมามอง
“เกิดอะไรขึ้น?” กัวเหม่ยอิงถามสะใภ้รอง
“หล่อนเป็นสหายของยัยนี่รึไงถึงได้เดินมาขวาง!” หญิงสาวอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร เมื่อกี้หล่อนดูกระดาษที่จดรายการของอยู่จึงไม่ได้เข้ามาหยิบสาหร่าย แต่พอจะมาหยิบก็มีผู้หญิงมาหยิบไปก่อน แต่เนื่องจากมันเหลือห่อเดียวและเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องซื้อเธอจึงใส่อารมณ์ไปมาก
สะใภ้รองตอบ “ฉันมาหยิบเอาสาหร่ายค่ะพี่ แต่เด็กผู้หญิงคนนี้บอกว่าฉันมาแย่ง” ถ้าเป็นของอย่างอื่นหล่อนคงจะยอมไปแล้วเพราะไม่ต้องการมีเรื่อง แต่ที่หล่อนยอมมีปากมีเสียง ก็เพราะแม่สามีชอบสาหร่ายมาก และที่บ้านก็จะหมดแล้วจึงจะซื้อไปเพิ่ม
หล่อนแย้ง “ใครเด็กกัน? ไม่ใช่ว่าหล่อนหรือไงที่จะเด็กกว่าฉัน”
อันที่จริงแล้วมันก็ดูไม่ยากเลยว่าใครอายุเยอะกว่าแม้จะหน้าเด็ก แต่ด้วยความที่ใครบางคนต้องการจะชนะจึงไม่ได้สังเกต
“อย่างหนูก็คงจะอยู่มัธยมปลาย” กัวเหม่ยอิงปรายตามองพลางถอนหายใจ โตขนาดนี้ยังมีนิสัยก้าวร้าวไม่รู้ว่าถ้าแต่งงานไปที่บ้านสามีของหล่อนจะว่ายังไง
“ไปกันเถอะค่ะ” สะใภ้รองรีบดึงแขนพี่สะใภ้ออกจากแถวนี้เพราะพี่สะใภ้พร้อมมีเรื่องมาก
“หน้าของหล่อนคุ้นมาก” กัวเหม่ยอิงว่าหลังสะใภ้รองดึงออกจากโซนของแห้ง
สะใภ้รองตอบ “ฉันก็เหมือนจะคุ้นแต่ก็ไม่คุ้นค่ะ”
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ชั่งเถอะ เราซื้อของแล้วก็กลับกันดีกว่า”
เพราะจะต้องเอานมผงไปฝากน้องชายสามอีก กัวเหม่ยอิงจึงกลัวว่าจะกลับบ้านไปช้า และของที่ซื้อก็มีอีกหลายอย่าง
