บทที่14 ไปหาน้องชายสาม
ช่วงเช้ามืดก่อนฟ้าสางกัวเหม่ยอิงตื่นขึ้นมานึ่งซาลาเปา เพราะเธอทำไส้ไว้เมื่อคืนนี้พอตื่นมาจึงขึ้นรูปซาลาเปาแล้วนึ่งได้เลย ส่วนกับข้าวแม่สามีนั้นเธอจะทำทีหลังสุดเพราะใช้เวลาทำไม่นาน
หลังจากการเก็บเกี่ยวธัญพืชในครั้งนี้เสร็จ กัวเหม่ยอิงมีความคิดที่จะเอาไก่ตัวใหม่มาเลี้ยง โดยที่ไก่ในเล้าที่มีคงต้องฆ่าแล้วตากแห้งเอาไว้ ยังไงไก่พวกนี้ก็อยู่มาหลายปีแล้ว และโชคดีที่พอเธอให้กินอาหารดี ๆ มันก็ออกให้วันละหลายฟอง แต่ถึงอย่างงั้นมันก็คงไม่เหมือนกับไก่ที่ยังสาวอยู่
“ผัดฝักทองใส่ไข่ด้วยดีไหมคะ เมื่อวานพี่ใหญ่กัวเอามาให้” สะใภ้รองที่กำลังหั่นผักหันมาถาม
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “เดี๋ยวนึ่งซาลาเปาเสร็จแล้วก็ต้มโจ๊กให้คุณแม่ก่อน จากนั้นค่อยผัดฟักทอง ผัดเยอะหน่อยนะ มื้อกลางวันฉันจะเอาไปให้บ้านกัว”
แม้จะเป็นเช้ามืดแต่ตอนนี้คนบ้านกัวคงจะลงมือถอนหญ้ากันแล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะตื่นเช้าออกไปทำงาน ยิ่งช่วงเก็บเกี่ยวทุกคนยิ่งตื่นเช้ากันมาก และยิ่งถอนหญ้าใกล้บ้านกัวพวกเข้าจึงรีบเข้าไปถอน ซึ่งกว่าเธอจะไปถึงทุกคนคงจะถอนได้เยอะแล้ว
“ผลไม้ที่ซื้อมาเมื่อวานล่ะคะ” สะใภ้รองไม่ใช่คนโง่ การที่พี่สะใภ้ของหล่อนซื้อผลไม้มามากก็คงจะเอาให้บ้านกัวด้วย
กัวเหม่ยอิงเพิ่งนึกขึ้นได้ “เดี๋ยวเอาใส่ตะกร้าด้วยก็แล้วกัน” เธอบอก
กัวเหม่ยอิงตกลงกับสะใภ้รองแล้วว่าเธอจะเป็นคนไปดูบ้านกัวถอนหญ้าและทำกับข้าวให้บ้านกัว ส่วนสะใภ้รองก็จะทำหน้าที่ดูแลแม่สามีกับหลานสาว
แล้วก็ทำงานในบ้าน ส่วนกับข้าวนั้นก็ช่วยกันทำเพราะหล่อนตื่นมาทำกับข้าวเวลานี้ทุกวัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะห้ามลุกขึ้นมาทำ
กัวเหม่ยอิงล้างสตรอว์เบอร์รี่กับองุ่นป่าใส่ปิ่นโตที่มีในบ้าน เธอไม่ได้ใส่เยอะมากแต่ก็เพียงพอต่อสมาชิกในบ้านกัวได้กินคนละลูกสองลูก ต่อให้เอาไปเยอะทุกคนก็ไม่ยอมกินกันหรอกเธอจึงเอาไปจำนวนนี้และคงเอาไปให้ทุกวัน ส่วนผลไม้อื่น ๆ ก็มีสาลี่ที่ซื้อมา 3 ลูก เธอทำการปอกเปลือกสาลี่แล้วนำใส่ไหไปแช่น้ำในโอ่ง พอถึงเวลาไปส่งอาหารค่อยเอาไปใส่ปิ่นโตเอาไว้ ส่วนสตรอว์เบอร์รี่กับองุ่นนั้นเธอใส่ปิ่นโตเอาไว้เลยไม่ต้องเอามาแช่อีก
ส่วนซาลาเปาเมื่อนึ่งเสร็จกัวเหม่ยอิงก็นำลงจากเตาให้สะใภ้รองทำกับข้าวต่อ กัวเหม่ยอิงทำซาลาเปา 2 ไส้ แต่เธอทำไส้ละหลายลูก เพราะแบบนี้แล้วพอถึงมื้อกลางวันคนบ้านกัวจึงได้กินซาลาเปาสองลูกพร้อมกับผัดฝักทองใส่ไข่และผลไม้เย็น ๆ หลายอย่าง
ต้องบอกว่าบ้านกัวทำงานกันเก่งจริง ๆ ทำงานครึ่งวันแรกก็ทำไปได้เยอะพอสมควร จากที่กัวเหม่ยอิงคิดว่าคงใช้เวลาหลายวันคงจะใช้เวลาไม่นาน
“ถ้าถอนหญ้าเสร็จก็เก็บพวกซากบ้านให้หน่อยนะคะ” กัวเหม่ยอิงบอกพ่อกัวที่นั่งพักหลังกินข้าวเสร็จ
จริง ๆ หลังกินข้าวเสร็จทุกคนจะได้นอนพักกันเพราะมันเหนื่อยมาก แต่วันนี้พอได้มาถอนหญ้าก็เลยไม่ค่อยเหนื่อยทุกคนก็เลยนั่งคุยกัน จะมีแต่พวกผู้หญิงที่พากันไปนอนพักเพราะทุกคนตื่นเช้ามาทำกับข้าวแล้วก็ทำงานบ้าน
พ่อกัวพยักหน้า “แล้วลูกจะเอาไปไว้ไหน” เขาหมายถึงพวกเศษไม้ที่พอจะใช้ได้อยู่บ้าง
กัวเหม่ยอิงนิ่งคิดก่อนจะตอบ “ถ้าอันไหนใช้ไม่ได้แล้วก็เผาทิ้งได้เลยค่ะ อันไหนพอจะใช้ได้พ่อก็เอาไปใช้เลย ฉันคงไม่ใช้พวกนี้แล้ว”
เศษไม้หรือพวกกระเบื้องบางส่วนยังใช้ได้อยู่เลย จริง ๆ เจ้าของที่คนเดิมก็ไม่อยากจะรื้อหรอก แต่ลูกชายกลัวว่าคนเป็นพ่อจะกลับมาอยู่ที่บ้านก็เลยสั่งรื้อบ้าน พวกเศษที่มีก็จะมีพวกไม้แผ่นใหญ่กับกระเบื้องหลังคา
“ไม้พวกนี้เอาไปทำเล้าไก่ก็ได้นี่” เป็นพี่รองที่บอก
กัวเหม่ยอิงปฎิเสธ “เล้าไก่กับเล้าหมูที่มีมันก็ใช่ได้นานอยู่ค่ะ ยังไงไม้พวกนี้ก็ไม่ได้ใช้แล้ว”
กัวเหม่ยอิงสนทนากับพ่อกัวและพี่ชายทั้งสองก่อนจะขอตัวกลับเพราะทั้งสามไม่ยอมนอนพักกัน และนั่งคุยกับเธอจนใกล้หมดเวลาพัก อันที่จริงเธอก็ไม่ได้กำหนดเวลาว่าให้ลงงานตอนไหนให้พักตอนไหน แต่ที่บ้านกัวทำนั้นเป็นเวลาที่ทำมาตลอด
กัวเหม่ยอิงกลับมาถึงบ้านสะใภ้รองก็อาบน้ำให้เด็ก ๆ แล้วก็ให้นอนกันแล้ว เธอจึงไม่ต้องทำอะไรอีกนอกจากกินข้าวมื้อกลางวัน
“เป็นยังไงบ้างคะ” เป็นสะใภ้รองที่เอ่ยถามหลังเก็บถ้วยที่พี่สะใภ้กินเสร็จออกไปล้าง
กัวเหม่ยอิงยกน้ำขึ้นดื่ม “ทุกคนทำงานกันเร็วมาก คาดว่าสองวันก็คงจะถอนหญ้าเสร็จ” เธอว่า
“แล้วพี่จะเข้าไปหาน้องชายสามหรือเปล่า” เพราะเริ่มถอนหญ้าแล้ว พวกเธอจึงควรไปถามน้องชายสามเกี่ยวกับอิฐสร้างบ้านใหม่
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “พรุ่งนี้ให้คุณแม่มาดูแลเด็ก ๆ ก็แล้วกัน ส่วนเธอก็เข้าอำเภอกับฉัน” คุณแม่ที่กัวเหม่ยอิงหมายถึงก็คือแม่กัว
ตกเย็นกัวเหม่ยอิงก็ไปดูที่ดินอีกครั้ง พอเห็นทุกคนเลิกงานแล้วก็กลับบ้านเพราะที่ไปดูก็จะบอกให้เลิกงาน ส่วนเงินนั้นกัวเหม่ยอิงจะจ่ายวันสุดท้ายของการทำงานเสร็จเพราะเธอกลัวบ้านกัวจะปฎิเสธรับเงินจำนวนนี้
กับข้าวของแม่สามีเป็นสะใภ้รองที่ทำ ส่วนกับข้าวของพวกเธอกัวเหม่ยอิงทำไข่น้ำ
ก็คือนำไข่ไปทอดแล้วหั่นใส่น้ำที่ถูกปรุงให้หอมพร้อมกับโรยด้วยขึ้นฉ่ายเป็นกับข้าวมื้อเย็นก่อนจะแยกกันไปนอน
ตั้งแต่ที่ถิงถิงเข้ามาอยู่ในร่างของกัวเหม่ยอิงต้องบอกว่าเธอเพิ่งเริ่มจะปรับสภาพได้ แม้ในวัยเด็กเธอจะอยู่บ้านนอกแต่มันก็ไม่ได้แออัดแบบนี้ ป้าข้างบ้านก็คล้ายคนที่นี่อยู่หรอกแต่พวกเขาก็ไม่ได้มานินทาทุกวันแบบนี้
อีกอย่างที่นี่จะทำอะไรก็ถูกจับตามอง ไม่รู้ว่ากว่าการค้าเสรีเปิดเธอจะแก่ตัวลงมากแค่ไหน พวกของในตู้ก็ไม่เคยลดลงแม้จะเอาออกมามากแค่ไหนยกเว้นเงินที่ลดลงอยู่บ้าง เธอคิดว่านี่คงจะเป็นตัวช่วยของเธอกับที่เคยอ่านในนิยายที่ตัวเอกทะลุมาแล้วมีของวิเศษติดตัวเป็นมิติ แต่เธอคงจะเป็นตู้เสื้อผ้าที่มีธัญพืชกับคนอื่นที่มองไม่เห็นของ
วันนี้กัวเหม่ยอิงพาสะใภ้รองเข้ามาในอำเภอในช่วงสายของวัน หลังจากทำกับข้าวเสร็จและให้แม่กัวเป็นคนดูแลให้ทุกคน โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดของน้องชายสามที่เคยบอกไว้พวกเธอจึงได้เข้าอำเภอพร้อมกับรถแทรกเตอร์ของหมู่บ้าน ที่ต้องเข้าไปทำธุระในเมืองโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน ส่วนตอนกลับก็คงต้องเดินกลับ
“พวกเราส่งได้แค่นี้ พวกเธอก็เดินเท้ากันต่อก็แล้วกัน” เป็นกรรมการหนุ่มในหมู่บ้านจอดรถแล้วหันบอกสองสะใภ้ที่ขอติดรถมาด้วย เพราะเขาไม่ได้เข้าในตัวอำเภอจึงต้องให้พวกเธอลงเดินเท้าต่ออีกไม่ถึงกิโลเมตร
กัวเหม่ยอิงลงรถแล้วหันไปขอบคุณ “ขอบคุณที่ให้ติดรถมาด้วยนะคะ” แล้วเดินนำสะใภ้รองเข้าอำเภอ
กรรมการหมู่บ้านหนุ่มมองตามพวกเธอเดินไปจนห่างสายตา แล้วจึงออกตัวรถเพื่อไปทำธุระที่ได้รับมอบหมาย ต้องบอกว่าหลังจากที่สามีของสะใภ้ใหญ่หานพลีชีพไป นางก็เป็นที่จับตาของคนในหมู่บ้านแม้แต่ครอบครัวของเขาที่อยากได้นางมาเป็นสะใภ้
แม้จะเป็นแม่ม่ายลูกติดก็ตาม กรรมการหนุ่มสบัดหน้าไปมาก่อนจะเลิกสนใจ
วันนี้กัวเหม่ยอิงเอาหน่อไม้มาด้วยสองไห เธออุ้มไหหนึ่งสะใภ้รองอุ้มอีกไห พวกเธอไม่รอเปล่าต่างเร่งฝีเท้าไปที่ห้องพักของน้องชายสาม
“พี่สะใภ้!”
เป็นน้องชายสามที่ร้องทักเพราะเขานั่งเล่นอยู่หน้าห้องพร้อมกับสหายคนหนึ่งจึงมองเห็นพี่สะใภ้ทั้งสอง
กัวเหม่ยอิงเหลือบมองสหายของน้องชายสามี “เธอว่างหรือเปล่า” จากนั้นก็หันมาคุยกับเขา
“ว่างครับ” น้องชายสามพยักหน้า
เนื่องจากอีกไม่กี่วันเขาก็จะจบแล้ว ทางโรงเรียนจึงไม่ได้ให้การบ้านในวันที่ได้หยุดเรียน
นอกจากไม่ได้การบ้านแล้วต้องบอกว่าช่วงนี้เป็นเพียงช่วงสุดท้ายของการที่จะต้องอยู่ในโรงเรียน ระหว่างนี้ทุกคนจึงอยู่รวมกับเพื่อนเพราะต้องแยกย้ายกันแล้ว รวมถึงหานหรงอี้ด้วยที่วันนี้มีเพื่อนมาหา
น้องชายสามที่นั่งตรงข้ามกับสหายจึงลุกไปนั่งข้างสหายให้พี่สะใภ้มีที่นั่ง กัวเหม่ยอิงวางไหหน่อไม้ลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงตามด้วยสะใภ้รองที่นั่งตามพี่สะใภ้
“นี่ไฉ่หูอ้ายสหายของผมครับ หูอ้ายนี่พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองของฉัน” น้องชายสามแนะนำพวกเธอ
ไฉ่หูอ้ายทัก “สวัดดีครับพี่สะใภ้หรงอี้”
กัวเหม่ยอิงพยักหน้าแล้วถาม “แล้วพวกนายกำลังทำอะไรกัน” เพราะวันนี้เป็นวันหยุดที่ควรจะพักผ่อนกัน แต่น้องชายสามกับสหายกลับมานั่งคุยกัน
น้องชายสามตอบเสียงเบา “เรื่องที่พี่สะใภ้ต้องการครับ” หน้าต่างมีหูประตูมีช่องน้องชายสามจึงไม่ต้องการให้คนอื่นได้ยินเรื่องนี้
“แล้วว่ายังไง” กัวเหม่ยอิงหันไปถามไฉ่หูอ้าย
ไฉ่หูอ้ายพยักหน้า “คุณพ่อผมสามารถขายให้ได้จำนวนหนึ่งแต่ไม่เยอะมาก และราคาค่อนข้างสูง”
เพราะอิฐนั้นมีคนจองไว้ตลอด หากใครมีเส้นสายก็สามารถหาซื้อได้เร็วเพียงแต่ราคาจะสูงขึ้นกว่าเดิม แต่สำหรับคนในเมืองพวกเขานับว่าคุ้มเพราะไม่ต้องรอนาน บางเดือนคนจองเป็นสิบแต่ได้มาเพียงพอสำหรับหกคนเท่านั้นจึงต้องจ่ายเพิ่ม และหากใครจ่ายสูงก็จะได้ไปก่อน ส่วนใครที่ไม่จ่ายเพิ่มก็ต้องรอเดือนต่อไป
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะมาตรฐานหรือเปล่า” กัวเหม่ยอิงรู้ดีว่าอิฐมันหายากไม่งั้นเธอก็หาเองแล้วไม่พึ่งน้องชายสามหรอก
“ผมสามารถพาไปดูได้ครับหากพี่สะใภ้ต้องการจริง ๆ แต่เรื่องนี้อย่าเอาไปพูดที่ไหน” เพราะหากมีคนรู้เรื่องนี้ครอบครัวของเขาจะถูกตรวจสอบ หากไม่ใช่ว่าสหายของเขามาขอร้องเขาคงไม่ไปขอพ่อของเขาให้หรอก
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ฉันรู้ วันนี้นายพร้อมจะพาฉันไปดูอิฐไหม? ถ้าพร้อมฉันก็อยากไปดู ถ้ามันดีฉันพร้อมจะซื้อเลย” และวันนี้เธอก็เอาเงินมาพร้อมซื้อด้วย
“ได้ครับ”
ทันทีที่ว่าจะไปดูอิฐน้องชายสามก็ขอตัวไปปิดห้องก่อนเพราะจะไปด้วย ส่วนกัวเหม่ยอิงกับสะใภ้รองก็พากันหิ้วไหหน่อไม้ไปด้วย
เนื่องจากที่จะไปดูอิฐกับที่นี่ห่างกันพอสมควรน้องชายสามจึงไปยืมจักรยานของคนในห้องพักมาหนึ่งคันให้เธอกับสะใภ้รอง ส่วนเขาก็ไปกับสหายเพราะไฉ่หูอ้ายมีจักรยาน
“ที่นี่ไม่มีคนเลยนะคะ” สะใภ้รองกระซิบบอก
มันก็จริงอย่างที่สะใภ้รองว่า ระยะทางจากห้องพักมาที่นี่ใช้เวลาปั่นจักรยานเกือบยี่สิบนาทีและช่วงใกล้ถึงที่หมายนั้นบ้านคนก็เริ่มจะไม่มี
“ที่นี่แหละครับ อาจจะเงียบหน่อยเพราะเป็นวันหยุดของคนงาน แต่พ่อของผมอยู่ รอกันก่อนนะครับเข้าไปบอกเขาก่อน” ไฉ่หูอ้ายที่จอดจักรยานหันมาบอก
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า“ได้ เดี๋ยวพวกเราจะรออยู่แถวนี้แหละ”กัวเหม่ยอิงตอบ
