บท
ตั้งค่า

บทที่13 บ้านกัวตอบตกลง

มีคนในหมู่บ้านที่มีเกวียนวัวจะเข้าอำเภอพอดี กัวเหม่ยอิงจึงขอติดไปด้วยพร้อมกับให้เงินไป 1 เหมา เป็นค่าเดินทาง ซึ่งเจ้าของเกวียนก็อนุญาต

วันนี้กัวเหม่ยอิงจะเข้าอำเภอเพื่อไปซื้อของมาทำซาลาเปาพรุ่งนี้ เพราะบ้านกัวให้คำตกลงแล้วว่าจะมาถอนหญ้าให้เมื่อวันก่อน และที่พวกเขาต้องรอทำพรุ่งนี้เพราะเพิ่งทำเรื่องขอหยุดงานในแปลงเสร็จ

นอกจากค่าจ้างแล้วกัวเหม่ยอิงก็จะทำกับข้าวมื้อกลางวันให้บ้านกัวด้วย จริง ๆ เธอต้องการจะทำกับข้าวมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน แต่บ้านกัวไม่เห็นด้วย

เพราะมันสิ้นเปลือง แต่สุดท้ายกัวเหม่ยอิงก็ได้ทำกับข้าวมื้อกลางวัน โดยที่บ้านกัวจะหาเนื้อมาให้

“สะใภ้ใหญ่บ้านหาน ฉันจะกลับหมู่บ้านบ่ายสองให้มารอที่นี่” เจ้าของเกวียนวัวบอก

กัวเหม่ยอิงพยักหน้าพลางกระชับถุงผ้าในอ้อมกอดแล้วเอ่ยตอบ “ได้ค่ะ ช่วงประมาณบ่ายโมงฉันจะมารอที่นี่”

เมื่อเจ้าของเกวียนวัวห่างจากสายตาออกไปกัวเหม่ยอิงก็กำชับผ้าคลุมบนหัวแน่น พร้อมกับเดินเลี่ยงไปยังซอยเปลี่ยว วันนี้กัวเหม่ยอิงลองเอาหน่อไม้มาขายเพราะที่บ้านเริ่มจะไม่มีที่เก็บแล้ว

ยามที่เฝ้าประตูทางเข้าตลาดมืดเดินเข้ามาขวางกัวเหม่ยอิงเอาไว้ กัวเหม่ยอิงจึงหยิบเงินให้เขา 1 เหมา ก็สามารถเข้าตลาดมืดได้ ตลาดมืดของที่นี่ต่างจากที่เธอเคยได้อ่านจากนิยายมาก

เพราะหลายเรื่องที่ได้อ่านมาเขาบอกจะมีรหัส แต่ที่นี่ไม่ต้องใช้รหัส แต่มันต้องจ่ายเงินค่าเข้าแทน

ภายในตลาดมืดเงียบมาก และมีคนเดินเพียงประปรายเท่านั้น แต่ทุกคนต่างหิ้วตะกร้าเหมือนกัน บางคนเดินเข้าซอยเปลี่ยวอย่างรู้ทิศทางของที่นี่

‘หมดอีกแล้วเหรอ’ กัวเหม่ยอิงได้ยินเสียงคนกระซิบกระซาบกันข้างหลังจึงชะงักฝีเท้าลงเพื่อให้พวกเขาเดินทัน

เสียงอีกคนตอบกลับ ‘วันนี้ฉันได้มานิดเดียว เขาเอาไปหมดแล้ว”

‘น่าเสียดายจริง ๆ ลูกชายของฉันชอบมันมาก’ นางถอนหายใจ

‘เอาไว้วันหลังเธอก็มาเร็ว ๆ ก็แล้วกัน ฉันจะเหลือไว้ให้ แต่วันนี้ฉันต้องไปก่อนแล้ว’ หล่อนไม่ว่าเปล่ายังผละตัวออกไป

‘เฮ้อ ลูกชายฉันไม่ได้กินอีกแล้วสินะ’

กัวเหม่ยอิงหยุดเดินแล้วหันหลังกับไปถามคนที่อยู่ข้างหลัง“คุณป้าต้องการอะไรคะ? เผื่อฉันมี” กัวเหม่ยอิงกระซิบเสียงแผ่วเบา

นางสะดุ้งตกใจแล้วรีบตอบ“หน่อไม้จ้ะ ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร หน่อไม้ที่มีเต็มตลาดตอนนี้กลับเริ่มไม่มีแล้ว” นางถอนหายใจ

ปกติหน่อไม้ในตลาดมืดนั้นหาง่ายมากเพราะเป็นของป่าที่คนในหมู่บ้านหามาขาย แต่ช่วงเดือนนี้หน่อไม้ที่มีกลับค่อย ๆ หายไป จากที่เคยมีราคาชั่งละไม่กี่เฟิน ก็พุ่งสูงเป็นเหมา และลูกชายของนางชอบมาก เวลานางมาที่นี่ก็จะซื้อติดมือกลับตลอด แต่ช่วงเดือนนี้กลับหาซื้อไม่ได้

“โอ้ ฉันมีหน่อไม้ที่ต้มแล้วคุณป้าสนใจไหมคะ?” เพราะด้วยน้ำเสียงและท่าทางแล้ว กัวเหม่ยอิงจึงรู้ว่าอีกคนเป็นหญิงสูงวัยแม้มีผ้าคลุมหน้าเอาไว้

นางทวนคำ “หน่อไม้ที่ต้มแล้ว? มันเป็นยังไง!”

กัวเหม่ยอิงเปิดไหที่มีหน่อไม้อัดแน่นให้อีกคนดู “มันก็หน่อไม้แหละค่ะ แต่มันเป็นหน่อไม้ที่ต้มเอาไว้แล้ว สามารถนำไปทำกับข้าวได้เลย ไม่ต้องนำไปต้มอีก” เธออธิบาย

“มันดีมาก” นางว่าอย่างอารมณ์ดี“เท่าไหร่! ฉันเอาหมดเลย” เพราะไม่ต้องเหนื่อยปอกหรือนำไปต้ม นางจึงไม่ลังเลที่จะซื้อ

“หน่อไม้ 5 เหมาค่ะ แต่ถ้าเอาไหด้วยก็ต้องเพิ่มค่าไหอีก 5 เหมา” เพราะไหนจะค่าฟืน ค่าน้ำ และค่าเกวียนที่มาอีก กัวเหม่ยอิงจึงเพิ่มราคาของหน่อไม้แพงกว่าที่เคยคิดจะขาย

นางเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ได้ ฉันเอาทั้งไหเลย” นางว่าพลางยื่นเงินค่าของมาให้

กัวเหม่ยอิงรับเอาเงินแล้วยกไหใส่ตะกร้าให้อีกฝ่าย “ครั้งหน้าฉันหวังว่าคุณจะได้กลับมาซื้ออีก”

“ถ้ามันอร่อยฉันก็จะมาซื้อ” นางว่าแล้วเดินหนี เพราะที่นี่เป็นตลาดมืดที่ผิดกฎหมาย จึงไม่ควรจะอยู่นาน

กัวเหม่ยอิงที่ขายหน่อไม้ไปแล้วจึงเดินออกจะตลาดเพราะไม่ต้องการจะซื้ออะไร ตลอดทางที่เดินกลับก็มีคนประปราย

เพราะเธอเข้าตลาดมืดไปโดยที่ใช้เวลาไม่นาน เวลาจะกลับจึงเหลืออีกมาก จะไปหาน้องชายสามก็คงจะไม่ได้เพราะเขาคงเรียนอยู่ จะซื้อของก็กลัวจะหนัก เธอจึงเลือกที่จะเดินดูรอบ ๆ อำเภออย่างใจเย็น

ที่อำเภอมันเจริญกว่าหมู่บ้านของพวกเธอไม่มาก แต่อย่างน้อยคนในอำเภอก็ยังมีไฟฟ้าให้ใช้ และของใช้ที่ดำเนินชีวิตสะดวก ๆ กว่าเยอะมาก

พอใกล้ถึงเวลาที่เกวียนจะกลับมารับกัวเหม่ยอิงจึงไปซื้อของที่สหกรณ์ สิ่งที่เธอซื้อก็คือแป้งขาว

เพราะที่บ้านมีแต่แป้งหยาบเธอจึงต้องเข้ามาซื้อ และในสหกรณ์หมู่บ้านกับตำบลก็เพิ่งจะหมดไปเพราะเป็นช่วงสิ้นเดือน

นอกจากแป้งขาวกัวเหม่ยอิงก็ซื้อแอปเปิล 1 ถุง ใหญ่ สาลี่ 1 ถุงใหญ่ แล้วก็แตงโม 2 ลูก จากนั้นก็ซื้อของแห้งจำนวนหนึ่ง พร้อมกับเครื่องปรุงที่กำลังจะหมด อีกทั้งกัวเหม่ยอิงยังหาซื้อเมล็ดผักไปปลูกอีก จริง ๆ แปลงผักก็เริ่มปลูกไปแล้วแต่เพราะเมล็ดหมดเธอจึงซื้อเพิ่ม

นมผงสำหรับเด็กนั้นเป็นไปตามที่พนักงานแจ้งเอาไว้ ขนาดสิ้นเดือนของยังมาไม่ถึงเลย โชคดีที่เธอซื้อตุนเอาไว้หลายป๋อง

พอซื้อเสร็จกัวเหม่ยอิงก็ไปยืนรอที่ลงจากเกวียนเมื่อเช้านี้ เป็นช่วงที่ลุงเจ้าของเกวียนวัวกลับมาพอ จึงช่วยกันยกของขึ้นเกวียนวัวแล้วพากันกลับหมู่บ้าน

เพราะเธอจ่ายเงินไปแล้ว 1 เหมา กัวเหม่ยอิงจึงไม่ได้จ่ายเงินเพิ่มอีก พอถึงบ้านเธอกล่าวขอบคุณแล้วหอบของลงจากเกวียนวัวเข้าบ้าน

“ซื้อของมาเยอะอีกแล้ว” สะใภ้รองที่ออกมาช่วยว่า

กัวเหม่ยอิงหัวเราะ“เอาไว้ไปด้วยกันรอบหน้าแล้วกัน”

เพราะสะใภ้รองกลัวพี่สะใภ้อย่างเธอจะเหนื่อยจึงบอกไม่ต้องซื้อเยอะ ค่อยเข้าไปซื้อของเพิ่มวันหลังก็ได้ แต่ไหน ๆ ก็ได้เข้าไปแล้วกัวเหม่ยอิงก็เลยซื้อมาเลย

“น้ำเย็น ๆ ค่ะ” สะใภ้รองถือแก้วน้ำมาให้

ต้องบอกว่าการที่บ้านกัวหยุดงานในแปลงนาสร้างความฮือฮาให้กับคนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก บางคนถึงกลับเดินไปถาม

หรือบางคนก็ไปถามคณะกรรมการของหมู่บ้าน ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าบ้านกัวนั้นยากจนแค่ไหน แต่อยู่ ๆ พวกเขาก็หยุดลงแปลงนา

“ไปถอนหญ้าให้บ้านสามสกุลหาน” คนในหมู่บ้านที่ไปถามแล้วกลับมาบอกคนอื่น ๆ พูดขึ้น

“ห้ะ! ฉันฟังผิดหรือเปล่า”

“ฟังไม่ผิด บ้านกัวไปถอนหญ้าให้บ้านสามสกุลหานจริง” เจ้าของเสียงพยักหน้ายืนยันสิ่งที่พูด

ป้าสะใภ้ใหญ่สกุลหานว่าอย่างฉุนเฉียว “บ้านกัวก็จริง ๆ ลูกสาวที่แต่งออกจากบ้านไปแล้วก็เหมือนกับน้ำที่สาดออก” นางอิจฉาหลานสะใภ้ที่แต่งออกจากบ้านแล้วยังกลับไปมาที่บ้านเดิมได้ ในขณะที่นางแต่งออกแล้วหากไม่ใช่ช่วงเทศกาลหรือเอาของติดมือไปด้วยก็ไม่เป็นที่ต้อนรับ

คนในหมู่บ้านที่นั่งอยู่ด้วยกันถอนหายใจ “ยังไงก็ลูกสาว” เพราะเขาก็เป็นห่วงลูกสาวที่แต่งออกไปเหมือนกัน จึงเข้าใจหัวอกของคนบ้านกัว แต่เขาก็พูดไม่ได้เพราะมันก็เป็นแบบนี้ปกติ

“ถ้าถอนให้เฉย ๆ ฉันคิดว่าบ้านกัวต้องไม่ยอมแน่ ต้องเป็นหลานสะใภ้ของเธอที่จ้างพวกเขา” สะใภ้ในหมู่บ้านกระซิบบอกป้าสะใภ้ใหญ่

แล้วบ้านสามจะเอาเงินจากไหนไปจ้างบ้านกัว ถ้าไม่ใช่เพราะเงินในวันนั้น! ป้าสะใภ้ใหญ่กำมือแน่น เงินพวกนั้นมันควรจะเป็นของครอบครัวนางไม่ใช่เงินของคนบ้านสาม

ป้าสะใภ้ใหญ่เหลือบมองหล่อนก่อนจะพูดขึ้น “แล้วยังไง? บ้านสามกับบ้านใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว” แม้อยากจะไปถามตอนนี้แต่นางก็รู้ว่าควรจะทำอะไร

ทุกคนแยกย้ายกันทำงานที่ได้รับมอบหมายจากเลขาธิการของหมู่บ้าน รวมถึงคนบ้านกัวที่มาทำวันสุดท้ายของช่วงที่จะหยุด

อันที่จริงพวกเขาก็ได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกันอยู่หรอก เพียงแต่พวกเขาไม่ได้สนใจเพราะหากลูกสาวไม่จ้าง พวกเขาก็ยอมไปทำให้ฟรี ๆ อยู่ดี

หลังจากอาหารมื้อเย็นกัวเหม่ยอิงก็นวดแป้งที่จะทำซาลาเปาเอาไว้ พรุ่งนี้เช้าค่อยลุกขึ้นมาทำไส้แล้วนึ่ง โดยเธอจะทำสองไส้ ก็คือไส้เนื้อไก่ที่พี่ชายเอามาให้ แล้วก็ไส้ถั่วที่ผสมถั่วไว้หลายชนิด อันที่จริงเธอก็ไม่อยากจะทำซาลาเปาเท่าไรหรอก แต่ช่วงแรก ๆ เธอทำซาลาเปาไปก่อนค่อยเปลี่ยนเมนู

“บ้านใหญ่ให้คนมาตามพวกเราไปอีกแล้วค่ะ” เป็นสะใภ้รองที่เดินเข้ามาในครัวหลังจากมีคนเรียกอยู่ที่หน้าประตูบ้าน

เรื่องที่บ้านสามจ้างบ้านกัวให้ไปถอนหญ้าให้คงจะเป็นที่เจ็บใจของคนบ้านใหญ่ เพราะเงินพวกนี้เป็นเงินที่พวกเขาควรจะได้

กัวเหม่ยอิงส่ายหัว “คนบ้านใหญ่คงจะลืมไปว่าพวกเราตัดขาดกันแล้ว” เธอไม่สนใจ

สะใภ้รองพูดต่อ “คงเป็นป้าสะใภ้ใหญ่ที่เรียกเราไป” เพราะหากเป็นคุณย่าหานเรียก ป้าสะใภ้จะเป็นคนมาเอง

“อืม” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า

ผลไม้ที่ได้มาในวันนี้กัวเหม่ยอิงเอาไปแช่ในโอ่งน้ำหลังบ้านเพราะมันจะทำให้ผลไม้เย็นและไม่ทำให้เน่า

“พรุ่งนี้ทำโจ๊กข้าวฟ่างกับไข่ลวกให้คุณแม่ก็แล้วกัน ส่วนเราก็กินซาลาเปากับไข่ต้ม หรือเธออยากกินอะไรก็ทำเลยก็ได้” กัวเหม่ยอิงว่าจบก็ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ

ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะได้น้ำอัดลมเย็น ๆ ดื่มให้ชื่นใจสักหน่อย แต่ตอนนี้ทำได้เพียงจิบน้ำเปล่าเท่านั้นเพราะในยุคนี้ยังไม่มี จะดีหน่อยก็บางวันที่เธอคั้นน้ำผลไม้ป่าดื่ม

“ฉันได้ข่าวของสามีแล้วนะคะ” สะใภ้รองพูดขึ้น

กัวเหม่ยอิงเลิกคิ้วแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะ แล้วตั้งคำถาม “เป็นยังไงบ้าง”

สะใภ้รองถอนหายใจ “เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนกับขาค่ะ ตอนนี้เห็นว่ารักษาขาเริ่มจะดีแล้ว แต่แขนยังไม่ดี” เพราะหล่อนถามจากสหายของสามีจึงรู้

กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ถ้าเป็นไปได้เขาควรจะกลับมาหลังจากเราสร้างบ้านหลังใหม่เสร็จ”

แม้มันจะเป็นไปได้ยากก็ตามที่น้องชายรองจะกลับหลังจากสร้างบ้านเสร็จ บ้านหลังหนึ่งคงจะใช้เวลาหลายเดือน แต่ตอนนี้อีกไม่นานน้องชายรองคงจะได้กลับบ้าน

สะใภ้รองส่ายหัว “ดูเหมือนเขาจะขอกลับมาก่อนรักษาตัวหายค่ะ”

หลังจากที่พี่ใหญ่หานของคนในกองทัพทหารพลีชีพเพื่อน้องชายไป ทหารหลายคนก็ตึงใส่น้องชายรองหาน เนื่องจากหลายคนคิดว่าหากไม่มีน้องชายรองพี่ใหญ่คงจะไม่เสียสละแบบนั้น และหานหรงอี้ก็เห็นด้วยกับความคิดของทุกคน หากไม่ใช่เขาวิ่งช้าพี่ชายคงจะได้กลับไปดูหน้าลูกสาวแล้ว

‘น้องชายรองหานจะไปแล้วรึ’ เสียงนายทหารหน้าห้องรักษาตัวพูดขึ้น

นายทหารอีกคนที่ยืนอยู่ตอบ ‘ใช่ครับ เห็นว่าเพราะไม่ต้องทำงานแล้วจึงขอกลับ’

หานหรงอี้ลืมตาขึ้นในความมืด สองเดือนที่ต้องทนนอนฟังเสียงของคนติและด่ามันทำให้เขาเงียบสงบ ไม่พูดกับใครแม้แต่สหายคนสนิท จนกระทั่งตัดสินใจขอกลับบ้านก่อนรักษาตัวหาย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel