ตอนที่ 4 ปลิดชีพ
ผ่านไปหลายชั่วยามหานตงหยางจึงเดินเข้ามาในห้อง หลิวหนิงเจียวยังนั่งรออยู่ที่ตั่งตัวเดิม นางได้กลิ่นสุราโชยมาจากกายเขาเล็กน้อย ยังไม่ทันได้เปิดผ้าคลุมหน้าและดื่มสุรามงคลเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงเข้มว่า “มีรายงานจากค่ายทหารว่ามีพวกนอกด่านมาก่อกวนชายแดนตะวันออก ต้องขออภัยฮูหยินคืนนี้ข้าคงอยู่เป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว”
หลิวหนิงเจียวรู้สึกโล่งอกเป็นที่สุด เขาหันกายเดินออกไปถึงประตูนางจึงพูดตามหลัง “ดีแล้วเจ้าค่ะ” ดีแล้วที่ข้ากับท่านไม่ได้มีโอกาสได้เห็นหน้ากัน ไม่เช่นนั้นข้าคงรู้สึกมีตราบาปในใจไปตลอดที่ต้องเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ของท่าน
เขาทำเช่นนี้ก็ดี หานตงหยางอยากหมิ่นเกียรติหมิ่นศักดิ์ศรีนาง นางก็จะทำให้คนทั่วแคว้นซีหลียงเห็นว่าแม่ทัพที่เก่งกาจผู้นี้น่าชังมากเพียงใด อีกอย่างเขาทำตัวเช่นนี้นางจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
หานตงหยางออกไปแล้วอันมามาจึงพูดขึ้น “ฮูหยินอย่าถือสานายท่านเลยนะเจ้าคะ เดิมทีนายท่านก็ทำงานหนักเช่นนี้ ฮูหยินอยู่ไปสักพักก็จะชินไปเองเจ้าค่ะ” ถึงจะดูเป็นคำแก้ตัว แต่ความจริงหานตงหยางก็เห็นงานที่ค่ายทหารสำคัญกว่าสิ่งอื่นจริง ๆ
หลิวหนิงเจียวเลิกผ้าคลุมหน้าออก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ท่านแม่ทัพออกไปปกป้องบ้านเมือง ถ้าข้าถือสาก็นับว่าใจคอคับแคบแล้ว พวกเจ้ารีบไปเตรียมน้ำอุ่นให้ข้าเถอะ” ยามนี้ฟ้าก็มืดแล้วจะรอให้เสียเวลาทำการใหญ่อยู่ไย
“เจ้าค่ะ”
หลิวหนิงเจียวชำระร่างกายเสร็จก็สวมชุดสีขาวนวลประทินผิวทาชาดแดงจัดเหมือนเช่นทุกครั้งที่เคยทำที่บ้านเกิด อย่างไรนางต้องสวยตลอดเวลาไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น ยิ่งคืนนี้นางยิ่งต้องสวยให้มากที่สุด
“ทำไมวันนี้คุณหนูใหญ่ถึงสวมชุดสีขาวเล่าเจ้าคะ” ปกติหลิวหนิงเจียวชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด ไม่ว่ายามออกงานหรืออยู่ที่เรือนนางย่อมเลือกสีที่โดดเด่นเพื่อให้ตกเป็นเป้าสายตาผู้คน ใบหน้าต้องผัดแป้งหนาทาชาดแดง แม้ใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินผิวจะงดงามเปล่งปลั่งอยู่แล้วก็ตาม ไม่เคยมีครั้งไหนที่นางจะยอมใส่เสื้อผ้าสีขาวหรือสีอ่อนเช่นนี้
“ข้าอยากลองเปลี่ยนดูบ้าง” ใบหน้างามยังมองคันฉ่องอย่างเหม่อลอย การตัดสินใจครั้งนี้นางไตร่ตรองมาถึงสิบวัน นางคงไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ หน้าที่ของนางได้จบสิ้นลงแล้ว อย่างนี้ก็ไม่นับว่าขัดพระราชโองการแล้ว
หลิวหนิงเจียวลุกขึ้นเดินไปที่เตียงนอนหลังจากสาวใช้แต่งตัวให้นางเสร็จ
“ข้าเหนื่อยมากแล้ว เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว”
“เจ้าค่ะ”
ซินอี๋ห่มผ้าให้ผู้เป็นนาย ดับไฟจากเทียนแล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้นายหญิงได้มีเวลาทบทวนการใช้ชีวิตกับท่านแม่ทัพอย่างเงียบ ๆ สักครา บางทีอยู่ที่จวนสกุลหานมาสิบวันนางอาจจะทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา คุณหนูใหญ่ไม่ได้เอะอะโวยวายเหมือนวันแรกที่มาถึงจวนสกุลหาน
ประตูห้องปิดลงสนิท บรรยากาศภายในห้องเงียบกริบอีกครั้ง หลิวหนิงเจียวลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความมืด มือเล็กควานหาปิ่นปักผมที่ซ่อนไว้ใต้หมอน จากนั้นกรีดลงบนข้อมือซ้ายของตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว หากชาตินี้นางต้องเป็นภรรยาของชายชั่วร้ายซ้ำยังอัปลักษณ์ผู้นั้นนางไม่ขอมีชีวิตอยู่เสียดีกว่า อีกทั้งพรุ่งนี้ทั่วแคว้นก็จะได้รู้ถึงความชั่วร้ายของเขาอีกหนึ่งเรื่อง แม่ทัพผู้หาญกล้าทิ้งภรรยาให้อยู่คนเดียวในคืนวันเข้าหอ เป็นเหตุให้นางน้อยใจจนฆ่าตัวตาย เช่นนั้นศีรษะเขาก็จะถูกเฉือนออกจากบ่าเช่นกัน ที่บังอาจหมิ่นเกียรติฮ่องเต้
มุมปากนางยกยิ้มหยันออกมา เลือดสีแดงฉานไหลออกจากร่างอรชรจนผ้าปูเตียงสีขาวเปียกชุ่มเป็นดวงใหญ่ ลมหายใจของหลิวหนิงเจียวเริ่มรวยรินลงเรื่อย ๆ ก่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง ชั่วขณะนั้นหลิวหนิงเจียวอยากจะมีชีวิตรอด นางฝืนตัวเองลุกขึ้นจากเตียงพยายามเค้นเสียงออกจากปาก แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้วนางไม่มีแรงแม้แต่เปล่งเสียง ร่างของนางโอนเอนและล้มลงบนพื้น ขาข้างหนึ่งเตะเข้าที่เชิงเทียนจนเกิดเสียงดัง ร่างกระตุกอย่างรุนแรงหนึ่งครั้งก่อนทุกอย่างจะสงบลง
ซินอี๋ที่นอนเฝ้าอยู่หน้าประตูตื่นขึ้นมาด้วยอาการง่วงงุน คล้ายได้ยินเสียงในห้องนายหญิงจึงรีบเปิดประตูเข้ามาด้านใน พร้อมกับเอ่ยเสียงเรียก “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ” นางสังหรณ์ใจบางอย่าง ตั้งแต่เห็นนายหญิงแต่งกายด้วยชุดสีขาวแล้ว
สาวใช้เรียกเท่าไรก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับนางจึงจุดเทียนให้แสงสว่าง เมื่อแสงเทียนสว่างวาบ ดวงตานางพลันเบิกกว้างขึ้นพร้อมกับกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นสภาพคนที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นตรงหน้าก่อนจะล้มพับหมดสติตามเจ้านายไป