ตอนที่ 5 สายเลือดพญานาค
ประเทศไทยปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยหกสิบแปด
ณ หมู่บ้านนาทราย ซึ่งตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำโขงทางจังหวัดหนองคาย นลินธาราลูกสาวเพียงคนเดียวของช่อผกากับสาคเรศ เธอเป็นลูกครึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นคนอีกครึ่งหนึ่งเป็นพญานาค พ่อของเธอที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ลักลอบได้เสียกับแม่จนเกิดเป็นเธอขึ้นมา เมื่อวานเป็นวันหยุดเธอกับพ่อลงไปยังเมืองบาดาลที่อยู่บริเวณสะดือแม่น้ำโขเพื่อเยี่ยมท่านปู่กับท่านย่า ยังเที่ยวไม่หนำใจก็ต้องขึ้นมายังโลกมนุษย์เพื่อทำงานตามเดิม นลินธาราเรียนจบด้านศิลปศาสตร์เอกภาษาจีน พอเรียนจบเธอก็กลับมาทำงานใกล้บ้าน เป็นอาจารย์สอนภาษาจีนอยู่ที่โรงเรียนนารีริมโขงวิทยา
“แม่ อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินนำเด้อ” (แม่อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินด้วยนะ) นลินธาราบอกแม่หลังจากแต่งตัวเสร็จ เดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน เมื่อเช้าเธอลุกขึ้นมาทำอาหารและขนมใส่บาตรแต่เช้า
“บ่อให่พ่อไปส่งอิหลีติ” (ไม่ให้พ่อไปส่งจริง ๆ เหรอ) สาคเรศเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“บ่อต้องดอกจ้า เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายอยู่โรงบาลโลด” (ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายที่โรงพยาบาลเถอะค่ะ) ยายของเธอป่วยเป็นโรคเบาหวานมาหลายปี เมื่อวานตอนที่เธอกับพ่อลงไปเมืองบาดาล ยายกลับมีค่าน้ำตาลในเลือดสูง จนต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อเช้าแม่ของเธอเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลเพื่อนำเสื้อผ้ามาซัก ช่วงสายแม่ของเธอต้องกลับไปหายายอีกครั้ง
“ขับรถดี ๆ เด้อ” ช่อผกาบอกลูกน้ำเสียงอ่อนโยน ตอนนี้นลินธาราอายุยี่สิบห้าปีแล้วแต่ลูกสาวก็ยังไม่หาใครมาดูแลสักที ตั้งแต่สมัยไปเรียนต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเธอก็เดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด
“จ้าแม่” นลินธารายิ้มพลางโอบกอดแม่ไว้หลวม ๆ
ก่อนลูกสาวจะก้าวขาขึ้นรถ สาคเรศจึงรีบพูดออกไป “นลินอย่าฟ่าวไป” (นลินอย่าเพิ่งไป)
นลินธาราชะงักเท้า หันกลับมาถามพ่อ “พ่อมีหยัง” (พ่อมีอะไร) เขาถอดแหวนหยกสีเขียวรูปพญานาคออกจากนิ้วนางของตัวเองแล้วสวมไว้บนนิ้วชี้ข้างขวาให้ลูกสาว นลินธาราขมวดคิ้วถาม “พ่อให่หนูเฮ็ดหยัง” (พ่อให้หนูทำไม)
“ใส่ไว่โลดเผื่ออนาคตนลินสิได้ใซ่มัน” (ใส่ไว้เถอะ เผื่ออนาคตนลินจะได้ใช้มัน) เขาพูดพลางวางมือบนศีรษะของลูกสาวอย่างรักใคร่
“หนูไปก่อนเด้อ” (หนูไปก่อนนะ) นลินธาราพนมมือไหว้พ่อกับแม่ สตาร์ทรถแล้วขับออกไป บรรยากาศวันนี้ดูขมุกขมัวท้องฟ้ามีเมฆหนาแต่เช้าคล้ายว่าฝนจะตก
นลินธาราขับรถออกไปไกลแล้วช่อผกาจึงเอ่ยถามสามี “เอาแหวนให่ลูกแล้วอ้ายสิใซ่หยัง” (เอาแหวนให้ลูกแล้วพี่จะใช้อะไร) แหวนวงนี้เป็นแหวนสารพัดนึก เมื่อสาคเรศไปอยู่ที่เมืองบาดาล ถ้าอยากกินอยากใช้อะไรที่เมืองบาดาลไม่มีเขาสามารถหยิบออกจากแหวนหยกวงนี้ได้ แหวนวงนี้ทำขึ้นจากเกล็ดของท่านปู่ทวดของนลินธารา ซึ่งตอนนี้ท่านละสังขารไปกว่าหนึ่งพันปีแล้ว ไม่สามารถทำขึ้นใหม่ได้อีก กล่าวได้ว่ามีเพียงชิ้นเดียวในสามโลก
“บ่อเป็นหยัง อ้ายบ่อมีหยังให่ลูก ส่ำนั่นมันยังหน่อยไป” (ไม่เป็นไร พี่ไม่มีอะไรให้ลูก แค่นั้นมันยังน้อยไป)
“อ้ายคือเว่าจั่งซั่น ลูกเฮาสิเป็นหยัง” (ทำไมพี่พูดอย่างนั้น ลูกเราจะเป็นอะไร) น้ำเสียงของช่อผกาเคร่งเครียดขึ้น
ดวงตาคมเข้มวูบไหวก่อนจะปรับให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว “บ่อเป็นหยังดอก อ้ายอยากให่ลูกใส่ซือ ๆ” (ไม่เป็นอะไรหรอก พี่อยากให้ลูกใส่เฉย ๆ) ว่าจบเขาหลุบตามองต่ำเดินเข้าบ้านไปโดยไม่มองหน้าภรรยาอีก เรื่องราวทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น แม้แต่เขาที่เป็นพญานาคยังสามารถมีภรรยาเป็นมนุษย์ได้เลย เพียงแต่ข้อเสียของเรื่องนี้ก็มีอยู่
นั่นก็คือเขาสามารถมีบุตรกับมนุษย์ได้เพียงคนเดียว อีกทั้งบุตรคนนั้นที่เป็นครึ่งคนครึ่งนาคจะอายุสั้น ส่วนมากอายุน้อยกว่าสามสิบปีก็ต้องละสังขารแล้ว เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกแก่ภรรยา และเขาต้องยอมรับมันให้ได้ ในเมื่อท่านพ่อของเขาทัดทานแล้ว แต่เขาไม่ยอมเชื่อฟัง ยังดึงดันที่จะมีบุตรกับช่อผกาให้ได้เพราะเขาไม่เคยเชื่อกฎข้อนี้ เช่นนั้นผลที่ตามมามันย่อมเจ็บปวดเสมอ ทว่ามันก็เป็นความเจ็บปวดที่งดงามที่ได้มองเห็นบุตรสาวเพียงคนเดียวเติบโตขึ้นมาอย่างสวยงาม เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งและเพียบพร้อมขนาดนี้ แต่ความเก่งของลูกสาวก็ทำให้เธอหาคู่ครองได้ยาก บัดนี้ถึงเวลาที่นลินธาราจำต้องเดินทางไปตามหาหัวใจของตน คนผู้นั้นกำลังดึงดูดให้เธอไปหา แม้อยู่ไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียวก็ตาม ขอให้บุตรสาวอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัย เขาช่วยลูกได้เท่านี้จริง ๆ แม้อยากจะรั้งก็รั้งไม่ได้แล้ว
ช่อผกามองแผ่นหลังของสามีอย่างไม่วางใจนัก ปกติแหวนหยกนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตเขามาก ถ้าไม่ถึงคราวจำเป็นแล้วเขาคงไม่ถอดแหวนให้กับบุตรสาว
นลินธารามาทำงานได้ครึ่งวันก็ต้องวิ่งเข้าห้องผู้อำนวยการโรงเรียนเพื่อขอลางานในช่วงบ่าย เพราะแม่เพิ่งโทร. มาบอกว่ายายอาการทรุดหนัก อยากให้เธอกลับไปดูใจให้เร็วที่สุด เธอสาวเท้าเร็วออกจากห้องผู้อำนวยการแล้วรีบวิ่งไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่โรงรถของโรงเรียน
“ครูนลิน เจ้าสิฟ่าวไปไส เจ้ากินเข่าเที่ยงแล่วเบาะ” (ครูนลิน คุณจะรีบไปไหน คุณกินข้าวเที่ยงแล้วเหรอ” ครูสอนภาษาไทยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นครูรุ่นน้องวิ่งออกมาจากห้องผู้อำนวยการอย่างเร่งรีบ
“บอจ้าบ่อทันได้กิน หนูสิฟ่าวไปโรงบาล ยายหนูป่วยหนักจ้า” (ยังค่ะ ยังไม่ได้กิน หนูจะรีบไปโรงพยาบาล ยายหนูป่วยหนักค่ะ) เสียงเธอสั่นเล็กน้อย พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้สุดกำลัง
“โอ๋ จั่งซั่นเบาะ ขับรถดี ๆ เด้อสะ” (อ้าวเหรอ ถ้าอย่างนั้นขับรถดี ๆ นะ) เห็นสีหน้าของครูสาวซีดเผือด ครูสอนภาษาไทยก็ไม่อยากถ่วงเวลา เธอจึงไม่ถามต่อ
“ค่ะ”