ทำใจยอมรับความจริง 1
ก๊อก! ก๊อก!
“ตื่น ๆ ข้าบอกให้ตื่น! อะไรกัน เป็นสะใภ้วันแรกก็ตื่นสายแล้วหรือไง ใช้ไม่ได้จริง ๆ”
เสียงของบุคคลด้านนอกดังขึ้นอีกครั้งก้องอยู่ในหูของหม่าเหยา ทำให้นางหลุดออกจากความทรงจำอย่างกะทันหัน หม่าเหยากะพริบตาปริบ ๆ และเริ่มหายใจเข้าปอดลึก ๆ จิตใจของนางกลับมาสู่ปัจจุบัน ท่ามกลางชีวิตใหม่ที่ต้องปรับตัว หลังจากที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว
ดวงตาคู่งามเรียบนิ่งดุจสายน้ำพิจารณาใบหน้าเรียบนิ่งของเจ้าบ่าวตนเองที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง จากความทรงจำทำให้หม่าเหยารู้ว่าบุรุษผู้นี้มีนามว่า เซี่ยเทียนหมิง เป็นหนึ่งในบุตรชายของสกุลเซี่ย ซึ่งเป็นตระกูลที่เปิดกิจการขายผักในตลาดจนร่ำรวย
เซี่ยเทียนหมิงนั้นดูไม่ใช่คนที่โหดร้าย ออกจะเป็นคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมหม่าเหยาถึงละสายตาไปจากเขามิได้เลย
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“นี่ข้าเคาะจนเจ็บมือไปหมดแล้วนะ! เจ้าคิดว่าตัวเองแต่งเข้ามาเพื่อกินนอนอย่างสบาย ๆ หรืออย่างไรกัน!”
“อื้อ…โวยวายอะไรกันแต่เช้า”
เสียงทุ้มงัวเงียของบุรุษที่นอนอยู่บนเตียงดังขึ้น เนื่องจากเสียงดังจากด้านนอกทำให้เขาต้องตื่นจนได้ ก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินโซเซเล็กน้อยไปเปิดประตูในขณะที่เปลือกตาของเขายังไม่ลืมขึ้นดีเลยเสียด้วยซ้ำ
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ก็พบกับสตรีรูปร่างบอบบางและผ่ายผอมดั่งกิ่งหลิว ใบหน้าเล็กกระจ่างหมดจดแต่แฝงไปด้วยความทระนงและจองหองอยู่ไม่น้อย
นางผู้นี้ก็คือ หนิงหยู่ เป็นพี่สะใภ้ของเซี่ยเทียนหมิง ซึ่งนางได้แต่งงานกับ เซี่ยหมิงข่าย พี่ชายเพียงคนเดียวของเทียนหมิง หนิงหยู่กับหมิงข่ายมีบุตรสาววัยสองขวบด้วยกันหนึ่งคนชื่อว่า เซี่ยหรูอี้
และยังไม่ทันที่คู่ข้าวใหม่ปลามันในห้องทั้งสองจะได้อธิบายอะไร หนิงหยู่ก็เดินเข้ามาในพร้อมกับกล่าวเสียงเข้ม
“หม่าเหยา! ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมตื่นขึ้นมาช่วยกันทำงานตั้งแต่เช้า จะปล่อยให้คนอื่นทำทุกอย่างเลยหรือไง แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้สกุลนี้แล้วก็ต้องช่วยกันทำงานสิ!”
หม่าเหยากวาดสายตามองแม่นางที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยความไม่คุ้นเคย
“ฉะ เอ่อ…ขะ ข้าจะไปทำเดี๋ยวนี้แหละ”
“ดี! แล้วอย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีกนะ!”
พูดจบหนิงหยู่ก็สะบัดหน้าเดินออกไปด้วยท่าทีที่ไม่พอใจในทันที ส่วนหม่าเหยาก็ยืนกะพริบตาปริบ ๆ ในใจคิดเป็นกังวลไปต่าง ๆ นา ๆเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ พลางลอบรำพึงในใจ
‘เมื่อวานเรายังเป็นวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในงานศพของตัวเองอยู่เลย แล้วทำไมเช้านี้ถึงต้องมาอยู่ที่นี่ได้กันล่ะ เฮ้อ…’
หม่าเหยาหยุดคิดแล้วปรายตามองร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงประตู เขาเองก็มองมาที่นางเหมือนกัน แต่ทั้งสองไร้การพูดคุยใด ๆ ต่อกัน ก่อนที่หม่าเหยาจะเลี่ยงไปเปลี่ยนชุดแล้วออกไปช่วยพี่สะใภ้ทำงานเรือนในเช้านี้อย่างเงียบ ๆ เพราะยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองอยู่
หม่าเหยาช่วยงานทุกอย่างในเรือนตามคำสั่งของพี่สะใภ้ เสียงไม้กวาดถูกลากไปมาต่อด้วยเสียงจานชามที่ถูกล้างให้สะอาดจนเป็นเงา จนสภาพร่างกายของหม่าเหยารู้สึกอ่อนล้าแต่นางก็ไม่มีสิทธิ์บ่นใด ๆ
“นี่เจ้าทำงานได้ช้าไปหรือเปล่า เดี๋ยวต้องทำอาหารเช้าอีกนะ!”
เสียงดุของหนิงหยู่ดังขึ้น ทำให้หม่าเหยาต้องรีบก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป นางไม่กล้าตอบโต้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธ
และเมื่อพี่สะใภ้เดินออกไป หม่าเหยาก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งก้านธูปในการจัดเรียงข้าวของเครื่องใช้ในครัวและทำอาหารเช้า โดยที่ไม่มีเวลาพักหายใจเลยสักนิด แม้จะรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากทำต่อแต่ก็ต้องฝืนใจทำไป
ความรู้สึกมากมายที่ถาโถมจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตา แต่หม่าเหยาก็พยายามกลั้นเอาไว้ไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้แต่งเข้ามาเป็นเพียงภรรยาเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นบ่าวรับใช้ในเรือนนี้ไปเสียด้วย
