บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 เริ่มต้นหาเงิน

หลังจากได้รับเมล็ดพันธุ์มาจากเซี่ยเหวินหลางแล้ว สวีเหม่ยหลิงก็เริ่มทำการเพาะเมล็ดเสียก่อน ที่นี่ไม่มีฟองน้ำนางจึงหาเศษผ้าเก่าและมีเนื้อหยาบมาวางแล้วราดน้ำให้ชุ่ม โรยเมล็ดผักลงไปใช้ผ้าชุ่มน้ำปิดทับอีกที แล้วก็แอบภาวนาว่าขอให้พวกมันงอกออกมาอย่างปลอดภัยอย่าได้พากันเน่าไปเสียก่อน เมื่อคิดได้แล้วก็เดินไปตัดต้นไผ่มาผ่าเป็นซีกๆ สานแบบหยาบๆ แล้วครอบเมล็กผักเหล่านั้นเอาไว้

ส่วนเมล็ดถั่วเขียวนางหาภาชนะมืดทึบมารองผ้าชุ่มน้ำเพราะเกรงว่าแสงแดดจะทำให้โต่วหยาฉ่ายของนางมีสีเขียวไม่น่ากิน หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว สวีเหม่ยหลิงก็ยืนปาดเหงื่อด้วยความโล่งใจ ตอนนี้สิ่งที่นางยังขาดแคลนก็คือเงิน

ร่างนี้มีความสามารถในการเย็บปักอยู่พอสมควร แต่เมื่อเทียบกับสวีอ้ายฉิงผู้เรียนวิถีการปักผ้าแบบโบราณมาโดยเฉพาะแล้วนับว่าสวีเหม่ยหลิงคนเก่ายังห่างไกลจากคำว่ามีฝีมืออยู่พอสมควร ร่างนี้เย็บปักได้งูๆ ปลาๆ ยังสามารถหาเงินเล็กๆ น้อยๆ มาซื้อยาบำรุงไปมอบให้กับเซิ่งเหวินหลางได้ เช่นนั้นนางเองก็คงน่าจะหาเงินในด้านนี้ได้เช่นเดียวกันและอาจจะทำได้ดีกว่าสวีเหม่ยหลิงในนิยายอีกด้วย คิดได้ดังนั้นนางก็ออกจากบ้านเพื่อไปร้านผ้าที่สวีเหม่ยหลิงคนเก่ามีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“น้องเหม่ยหลิง วันนี้จะมาซื้อผ้าหรือจะมารับงานกลับไปทำจ๊ะ” ซ่งชิงหงเอ่ยทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นางมีความสนิทสนมกับสวีเหม่ยหลิงเป็นอย่างดี เพราะเป็นคนที่ชอบพูดคุยเรื่องเครื่องแต่งกายและเครื่องประทินโฉมเช่นเดียวกัน จึงพูดคุยกันถูกคอเป็นพิเศษ

“ข้าย่อมต้องมารับงานไปทำสิเจ้าคะ หมู่นี้การเงินข้าไม่คล่องเลยย่อมต้องพยายามให้มากสักหน่อยเสียแล้ว” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แล้วเดินติดตามซ่งชิงหงเข้าไปยังหลังร้านในทันที

“นี่คือผ้ากับเส้นด้ายเจ้าเลือกกลับไปได้เลย เฮ้อ อย่าหาว่าพี่สาวจุ้นจ้านเลยนะ เจ้าน่าจะพยายามฝึกฝีมือให้ดีกว่านี้ อดตาหลับขับตานอนเพื่อเงินเพียงไม่กี่เหวิน มิสู้เจ้าพยายามปักลายปักที่ผู้คนนิยมอย่างรูปเทพเจ้าหรืออะไรทำนองนั้นไม่ดีกว่าหรือ ภาพพวกนั้นมีราคาถึง 5-10 ก้วน เชียวนะ”

“10 ก้วน ก็เท่ากับ 1 ตำลึงพอดีมิใช่หรือ ผ้าปักที่มีราคาสูงถึงเพียงนั้นไม่ทราบว่าพี่สาวพอจะให้ข้าดูได้หรือไม่ หากข้าทำได้ตัวพี่สาวเองก็จะได้ส่วนแบ่งมากยิ่งขึ้นนะเจ้าคะ” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ซ่งชิงหงคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้พยักหน้า

“ก็ได้ นี่เพราะเห็นว่าเป็นเจ้าหรอกนะไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจจะให้เจ้าดูผลงานของผู้อื่นได้” เอ่ยจบซ่งชิงหงก็เดินไปยังตู้ไม้หยิบม้วนผ้าปักออกมาด้วยความระมัดระวัง เมื่อนางกางม้วนผ้าออกสวีเหม่ยหลิงก็เพ่งมองผ้าปักผืนนั้นด้วยความสนใจ

ผ้าปักม้วนนั้นเป็นรูปเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตร ลวดลายประณีตฝีเข็มละเอียดไล่สีอย่างงดงาม ซ่งชิงหงเห็นว่านางสนใจจึงเดินไปนำม้วนผ้าปักอีกม้วนมาให้นางดู

“ผืนนี้เป็นภาพซีหวังหมู่ประทานพร เจ้าดูลวดลายปักนี่สิประณีตเป็นที่สุด ภาพนี้เป็นฝีมือของช่างปักที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงข้าซื้อมาเพื่อเก็งกำไร ยามนี้หากข้านำไปขายราคาน่าจะถึง 20-30 ตำลึงเลยทีเดียว” ซ่งหงซิ่วเอ่ยเช่นนี้สวีเหม่ยหลิงก็พลันตื่นเต้นขึ้นมาในทันที เงิน 30 ตำลึงสามารถซื้อที่นาได้หลายหมู่เลยทีเดียว

นางเพ่งพิศผ้าปักด้วยความสนใจ รูปแบบการปักคล้ายคลึงกับผ้าปักของสำนักซูซิ่วที่นางเคยเรียน แต่ลวดลายกลับเป็นแบบง่ายไม่สลับซับซ้อนเท่ากับภาพทิวทัศน์โบราณที่นางชำนาญ

“ขอบคุณพี่ชิงหงมากนะเจ้าคะ ที่นำผ้าปักที่ล้ำค่าถึงขั้นนี้มาให้ข้าดู” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื้นตัน นางรู้ดีว่าซ่งชิงหงน่าจะหวงแหนผ้าปักผืนนี้มาก

“ไม่เป็นไร หากเจ้าพยายามข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าก็คงจะสามารถปักผ้าเช่นนี้ได้” ซ่งชิงหงเอ่ยพลางคิดถึงฝีมือการวาดภาพของสวีเหม่ยหลิง ข้อดีของการที่นางไปป้วนเปี้ยนที่บ้านของเซี่ยเหวินหลางก็คือสวีเหม่ยหลิงชำนาญเรื่องการใช้พู่กันวาดภาพเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าจะไม่งดงามเทียบเท่าผู้มีฝีมือในเมืองหลวง แต่ก็นับว่าโดดเด่นในแถบนี้ แม้แต่ตัวของเซี่ยเหวินหลางเองก็ยังไม่อาจวาดได้เทียบเท่านาง

ซ่งชิงหงเก็บม้วนผ้าปักเข้าตู้อย่างระมัดระวังแล้วจึงได้ลงกลอนใส่กุญแจอย่างรอบคอบ เมื่อหันมาเห็นว่าสวีเหม่ยหลิงผู้มีใบหน้างดงามเฉิดฉายกำลังมองเส้นด้ายและผ้าที่ได้รับไปด้วยความสนใจและครุ่นคิด ได้เห็นแววตามุ่งมั่นตั้งใจของสวีเหม่ยหลิงแล้วซ่งชิงหงได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยความเสียดาย ผู้คนต่างเล่าลือกันไปจนทั่วว่าย่าของนางกำลังจะจับนางแต่งงานกับคุณชายขี้โรคของบ้านสกุลจี้ นางชอบสาวน้อยผู้นี้จากใจจริงจึงได้เอ่ยสอบถามสาวน้อยตรงหน้าด้วยความห่วงใย

“ข้าได้ยินมาว่าท่านย่าของเจ้าพูดคุยตกลงเรื่องแต่งงานกับแม่สื่อของบ้านสกุลจี้แล้ว เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่” ซ่งชิงหงเอ่ยถามเช่นนี้สวีเหม่ยหลิงก็พยักหน้า

“เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ อีกไม่นานข้าก็คงจะต้องแต่งเข้าบ้านสกุลจี้แล้ว”

“เพ้ย นี่ย่าของเจ้าคิดอันใดอยู่กันแน่นะ คุณชายจี้ผู้นั้นเป็นโถยาขี้โรคผู้หนึ่ง เจ้าตบแต่งให้เขาไปแล้วจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร เขาพอจะมีเงินบ้างก็จริงแต่ก็ไม่ได้มากมายจนถึงขั้นที่เจ้าต้องสละความสุขชั่วชีวิตเช่นนี้” ซ่งชิงหงเอ่ยเช่นนี้ สวีเหม่ยหลิงก็แอบคิดอยู่ในใจว่า ตอนนี้ยังไม่นับว่ามีเงินมากแต่อนาคตก็ไม่แน่ บังเอิญข้าเป็นคนเห็นแก่เงินเสียด้วยสิเจ้าคะพี่สาวคนสวย

“ถึงอย่างไรเรื่องนี้ข้าก็คัดค้านอันใดไม่ได้อยู่แล้ว มิสู้แต่งไปตามที่ท่านย่าต้องการดีกว่า เรื่องสุขภาพของเขาข้าคงทำอันใดไม่ได้ แต่เรื่องเงินทองขอเพียงข้ามานะอดออม พยายามตั้งใจปักผ้าให้ดี สักวันเงินก็คงจะงอกเงยขึ้นมาเอง พี่สาวไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกเจ้าค่ะ” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยเช่นนี้ซ่งชิงหงก็พลันส่ายหน้า แล้วผายมือเชื้อเชิญสวีเหม่ยหลิงให้ไปนั่งดื่มชาด้วยกันด้านหลังฉากฉลุลายที่วางโต๊ะน้ำชาไว้สำหรับรับรองแขกคนสำคัญโดยเฉพาะ

“ข้าล่ะสงสารเจ้าจริงๆ เจ้าทั้งงดงามทั้งมากความสามารถ ไม่น่าต้องมาแต่งกับคนขี้โรคผู้นั้นเลย…” ประโยคหลังนางต้องพลันชะงักค้างเมื่อเดินอ้อมไปด้านหลังฉากแล้วเห็นว่าคุณชายขี้โรคผู้นั้นกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่กับสามีของนางอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนตู้เหวยซางสามีของนางก็กำลังนั่งทำสีหน้าจืดเจื่อนอยู่ตรงหน้า

“คุณชายจี้นำผ้าไหมชุดใหม่มาส่งด้วยตนเอง ข้าจึงเชิญเขามาดื่มชาในห้องนี้” ตู้เหวยซางเอ่ยแก้ตัวกับภรรยาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ซ่งชิงหงมีใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายในทันที เมื่อครู่นี้ที่นางกับสวีเหม่ยหลิงพูดคุยกันจี้เหวินเต๋อน่าจะได้ยินแทบจะทั้งหมดแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel