บทที่ 5 จี้เหวินเต๋อ
สถานการณ์อันน่าอึดอัดไม่ได้มีผลต่อสวีเหม่ยหลิงเลยสักนิด นางจ้องมองจี้เหวินเต๋อด้วยความสนใจ ในความทรงจำของร่างเก่า จี้เหวินเต๋อคือคุณชายร่างกายผอมแห้ง มีใบหน้าซีดเซียวอยู่เป็นนิจ ไม่ได้มีสิ่งใดน่ามองเลยสักนิด
แต่ชายหนุ่มที่กำลังหลุบตาลงเพื่อจิบน้ำชาอยู่ตรงหน้าของนางกลับทำให้นางต้องชะงักงันไป ใบหน้าเรียวยาวได้รูป ขนตางอนยาว คิ้วหนาพาดเฉียงขึ้น เพราะความผอมทำให้โหนกแก้มและจมูกโด่งเรียวยาวดูโดดเด่น เมื่อเขาลดถ้วยชาลงแล้วสบตากับนางอย่างไม่คิดจะหลีกเลี่ยง หัวใจของสวีเหม่ยหลิงก็กระตุกคล้ายกับโดนผู้ใดมาดึงเล่นเสียอย่างนั้น
ดวงตากลมโตมีประกายแวววาวเมื่ออยู่บนใบหน้าเรียวยาวและซีดเซียวทำให้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ริมฝีปากเรียวแบบบางของเขาถึงแม้ว่าจะซีดเซียวไปบ้างแต่กลับรับกับใบหน้าได้รูปของเขาได้เป็นอย่างดี เขาไม่ใช่บุรุษที่มีหน้าตาหล่อเหลาสง่างามแบบเซิ่งเหวินหลาง แต่ใบหน้าของเขากลับดึงดูดใจของสวีเหม่ยหลิงได้เป็นอย่างดี คิ้วหนาตาโตเหมือนซ่งเว่ยหลง แต่แววตาและรอยยิ้มกลับดูร้ายกาจเหมือนติงอวี่ซี นี่คือการรวบรวมจุดเด่นของพระเอกในดวงใจของสวีเหม่ยหลิงเลยเชียวนะ ไม่สิ! ที่จริงแล้วเป็นสวีอ้ายฉิงผู้ที่นอกจากจะบ้าคลั่งในการอ่านนิยายยิ่งกว่าตำราเรียนแล้วยังเป็นคนบ้าคลั่งและเป็นแฟนคลับตัวยงของเหล่าพระเอกในซีรีส์อีก
“น้องเหม่ยหลิงวันนี้พี่คงไม่สะดวกเลี้ยงน้ำชาเจ้าแล้ว” ซ่งชิงหงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะดีนัก ทำให้สวีเหม่ยหลิงหลุกจากภวังค์ความคิดของตนเองในทันที นางมองสภาพการณ์แล้วก็คิดได้ว่าไม่เหมาะจริงๆ จึงหันไปเอ่ยกับซ่งชิงหงที่ยืนทำสีหน้ากระอักกระอ่วนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อนนะเจ้าคะ ขอบคุณพี่ชิงหงมาก ไว้วันหน้าข้าค่อยมารบกวนท่านอีกนะเจ้าคะ” เอ่ยจบสวีเหม่ยหลิงก็คำนับอำลาซ่งชิงหง แล้วจึงหันไปคำนับตู้เหวยซางและจี้เหวินเต๋อ เห็นพวกเขาพยักหน้าให้นางก็รีบออกจากร้านไปอย่างรวดเร็วเพื่อกลับไปปรับสภาพจิตใจของตนเองที่บ้าน โดยไม่รู้สักนิดว่ายามนี้คนในร้านผ้ากำลังเอ่ยถึงนางกันอยู่
“ข้าคิดไม่ถึงว่าคุณชายจะมาส่งผ้าด้วยตนเองเช่นนี้ ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ ถ้าหากข้าพูดจาล่วงเกินและทำให้คุณชายไม่พอใจใจ” ซ่งชิงหงเอ่ยด้วยน้ำเสียงขออภัย นางรู้ดีว่านางได้พูดจาล่วงเกินคุณชายจี้ไปไม่น้อย แต่ด้วยยามนี้ผ้าส่วนใหญ่ที่นางนำมาขายมักเป็นผ้าที่สั่งซื้อมาจากสกุลจี้ นางจึงไม่อาจทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้านี้ต้องจบลงแค่เพียงเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของนาง
“เจ้าไม่ได้เอ่ยอันใดผิด ข้าเป็นโถยาขี้โรคจริงๆ ดั่งเจ้าว่า แล้วเหตุใดข้าต้องโกรธเคืองเจ้าด้วยเล่า” จี้เหวินเต๋อเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แล้วจึงหันมามองนางด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความอยากรู้
“คิดไม่ถึงว่า ว่าที่ภรรยาของข้าจะมารับงานปักผ้าที่นี่ ข้าเคยได้ยินมาบ้างว่านางเป็นคนหยิบโหย่ง รักสวยรักงามและรักความสบาย คิดไม่ถึงว่าที่แท้นางก็รู้จักออกมารับงานกลับไปทำเพื่อหาเงินเช่นนี้” จี้เหวินเต๋อเอ่ยตามคำเล่าลือที่ได้ยินมา ถึงแม้ว่าจะมีความจริงในคำเล่าลืออยู่บ้างแต่ซ่งชิงหงผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสวีเหม่ยหลิงกลับรู้สึกไม่พอใจในคำเล่าลือที่จี้เหวินเต๋อเอ่ยถึงเท่าใดนัก
“มันก็แค่คำเล่าลือของคนขี้อิจฉาเพียงเท่านั้น เพราะรูปร่างหน้าตาของนางดีผู้คนจึงริษยานางอยู่ไม่น้อย น้องเหม่ยหลิงอาจจะดูเป็นคนรักสวยรักงามมากเกินไปหน่อย ก็นางแต่งอย่างไรก็มักจะดูดีกว่าผู้อื่นนี่เจ้าคะ นางจึงให้ความสนใจในเรื่องของเครื่องประดับและเครื่องประทินโฉมมากเป็นพิเศษ ส่วนเรื่องงานบ้านงานเรือนข้าไม่รู้หรอกว่านางเชี่ยวชาญมากหรือไม่ แต่เรื่องฝีมือในการวาดภาพและเย็บปักของนางนับว่ามีฝีมืออยู่ไม่น้อยเลย” ซ่งชิงหงออกหน้าแก้ตัวให้กับสวีเหม่ยหลิงด้วยความลำเอียงมากเป็นพิเศษ จีเหวินเต๋อได้ยินแล้วก็เพียงส่งยิ้มให้แก่นาง ไม่ได้เอ่ยต่อแต่อย่างใด ในใจของเขาได้แต่แอบคิดว่า คำเล่าลือเหล่านั้นก็คงจะพอมีความจริงอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นนางก็คงไม่ต้องลงเอยด้วยการที่จะต้องมาแต่งงานกับคนป่วยและรุมเร้าด้วยโรคภัยเช่นเขาหรอก
เพียงแต่เมื่อครู่นี้แม้จะได้สบตากันแค่เพียงชั่วขณะเขากลับไม่พลาดสายตาชื่นชมของนาง หากเขาไม่ได้เข้าใจผิดไป นางเองก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจในตัวของเขาสักนิดติดจะมีความชื่นชมอยู่เสียด้วยซ้ำ จี้เหวินเต๋อคิดแล้วก็แค่เพียงส่งยิ้มออกมาอย่างเย็นชา ไม่ว่านางจะชื่นชมในตัวเขา หรือพึงพอใจในทรัพย์สมบัติของเขาก็ตามที แต่อย่างน้อยการที่นางไม่รังเกียจที่จะแต่งงานกับเขามันก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ
“เรื่องสุขภาพของเขาข้าคงทำอันใดไม่ได้ แต่เรื่องเงินทองขอเพียงข้ามานะอดออม พยายามตั้งใจปักผ้าให้ดีสักวันเงินก็คงจะงอกเงยขึ้นมาเอง” ถ้อยคำที่สวีเหม่ยหลิงเอ่ยกับซ่งชิงหงเมื่อครู่นี้ยังสลักลึกอยู่ในความทรงจำของเขา ช่วงนี้กิจการทางการค้าของเขาเพิ่งจะเริ่มต้น เขาจึงเข้าใจในความฮึกเหิมของคนที่มีมานะในการหาเงินได้ดี
อันที่จริงการแต่งงานนี้ก็คงจะไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่เขาคิด อย่างน้อยว่าที่ภรรยาของเขาก็นับได้ว่าเป็นคนงามคนหนึ่ง นางมีนิสัยร้ายกาจอย่างที่ผู้อื่นพูดถึงหรือไม่ก็ช่างเถิด แค่นางเป็นคนรักเงินเช่นเดียวกับเขาก็คงพอจะอยู่ร่วมกันง่ายขึ้นมากทีเดียว ขณะกำลังครุ่นคิดเขาก็ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปากกระแอมไอ ช่วงนี้สุขภาพของเขาเริ่มจะดีขึ้นมาบ้างแล้ว เขาจึงคิดจะบุกเบิกกิจการโรงทอผ้าของบิดา เขาก็ได้แต่แอบหวังว่าสุขภาพของเขาจะไม่ย่ำแย่ลงในอนาคต เพราะถ้าหากเขาหาเงินเพิ่มให้ตนเองไม่ได้ก็คงไม่สามารถดึงดูดผู้ใดให้มาจมปลักอยู่กับคนอมโรคเช่นเขาได้
จี้เหวินเต๋อเอ่ยอำลาสองสามีภรรยาร้านผ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ดูจากสถานการณ์แล้วหลังเขาจากไป ตู้เหวยซางน่าจะถูกภรรยาจัดการอย่างแน่นอน เห็นสายตาที่คนทั้งคู่ใช้มองกันแล้วจีเหวินเต๋อก็ต้องอมยิ้มอยู่ในใจ
ตู้เหวยซางเป็นสหายเก่าของเขามาตั้งแต่เด็ก ฐานะทางบ้านของตู้เหวยซางในเมืองหลวงนับว่าดีมากทีเดียว แต่เพราะทางบ้านไม่ชอบภรรยาของตน เขาจึงขอแยกบ้านออกมาเพื่อพาภรรยาคนสวยของเขาย้ายมาอยู่ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้เพื่อเปิดกิจการให้ภรรยา
ตู้เหวยซางเอ่ยว่าเขาทำเช่นนี้เพราะความรัก แต่จี้เหวินเต๋อกลับไม่เข้าใจในคำพูดของสหายเท่าใดนัก ตระกูลตู้นับเป็นตระกูลใหญ่ หากตู้เหวยซางไม่แยกบ้านออกมายามนี้เขากับภรรยาก็คงไม่ต้องดิ้นรนถึงขั้นนี้ เรื่องกัดก้อนเกลือกินเพื่อความรักนั้นไม่เคยอยู่ในความคิดของจี้เหวินเต๋อ แต่หากได้อยู่ร่วมกับคนที่มีปณิธานเดียวกันก็อาจจะพอพูดคุยกันได้บ้าง
