บทที่ 2 ข้าไม่ได้ป่วย
หลังจากครุ่นคิดจนดึกดื่นสวีเหม่ยหลิงก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดของท่านย่าสวี นางค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อคืนนี้นางน่าจะล้มลงไปบนพื้นอย่างรุนแรงไม่น้อย เนื้อตัวจึงได้ปวดระบมมากถึงขนาดนี้
“ยังไม่ตื่นอีกหรือ แล้วเช้านี้พวกข้าจะกินอะไร” เสียงของย่าสวีดังลอดผ่านประตูไม้อันผุพังเข้ามาถึงในห้อง นางจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู
“ทำกินเองก็ได้มิใช่หรือ เหตุใดจึงใช้แต่ข้าอยู่ร่ำไป” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญแล้วก็ต้องถอยหลบเมื่อเห็นท่านย่าผู้เกรี้ยวกราดถือไม้ขนาดเหมาะมือสำหรับการเฆี่ยนตีเดินตรงมาทางนาง
“ได้ๆ ข้ายอมแพ้แล้ว ประเดี๋ยวข้าจะไปทำกับข้าวให้ แต่ท่านย่าต้องอย่าตีข้านะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องไม่มีเรี่ยวแรงไปทำกับข้าวให้ท่านอย่างแน่นอน” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก ท่านย่าสวีเห็นท่าทีค่อยๆ ขยับตัวของหลานสาวแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว
“นี่เจ้าป่วยหรือ!” ท่านย่าสวีเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่เล็กจนโตสวีเหม่ยหลิงไม่เคยล้มป่วยเลยสักครั้ง นางจึงนำเรื่องนี้ไปยกยอหลานสาวจนทำให้แม่สื่อจากบ้านสกุลจี้สนใจในตัวของสวีเหม่ยหลิง หากนางล้มป่วยลงในเวลานี้ไม่รู้ว่าจะกระทบกับเรื่องแต่งงานหรือไม่
“ยังไม่ถึงขั้นล้มป่วยหรอกเจ้าค่ะ แต่ถ้าหากถูกไม้เรียวของท่านย่าโบยตีอาการของข้าอาจจะย่ำแย่ก็เป็นได้นะเจ้าคะ” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยออกมาถึงขั้นนี้มีหรือที่ย่าสวีจะกล้าลงมือกับนาง
“งั้นก็รีบไปหุงหาอาหารได้แล้ว เจ้านี่ไม่เคยเปลี่ยนขี้เกียจสันหลังยาวเป็นที่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมอะไรของข้าถึงได้มีหลานสาวที่ไม่ได้ความเช่นเจ้าได้” ย่าสวีเอ่ยพร่ำบ่นอยู่คนเดียวได้อย่างไม่คิดจะหยุดพักเลยสักนิด สวีเหม่ยหลิงเองก็ไม่คิดจะหยุดฟังเช่นกัน นางเดินไปที่เตาไฟซึ่งท่านย่าของนางมาก่อไฟเอาไว้แล้ว
ถึงแม้ว่าจะดูโหดร้ายต่อนาง แต่ย่าสวีก็ไม่เคยจะละเลยต่อการดูแลหลานชาย เช้าเช่นนี้แต่นางยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมาต้มน้ำร้อนไว้ให้หลานชายดื่ม สวีเหม่ยหลิงจึงได้รับอานิสงส์จากความเอาใจใส่ของนางไปด้วย
ความยากจนของบ้านสวีทำให้ภายในบ้านมีธัญพืชและข้าวขาวอยู่ไม่มากเท่าใดนัก สวีเหม่ยหลิงเดินไปดูแปลงผักที่ว่างเปล่าแล้วก็ต้องทอดถอนใจออกมา ในขณะที่กำลังจะเดินเข้าบ้านสุดท้ายสายตาของนางก็ไปสะดุดเข้ากับผักป่าที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ กับแปลงผัก นางเดินไปดึงขึ้นมาดมดูแล้วก็พลันยิ้มออกมาด้วยความดีใจ จี้ช่ายป่าสามารถนำมาเป็นอาหารได้
สวีเหม่ยหลิงใช้เวลาเพียงไม่นานโจ๊กธัญพืชใส่ผักจี้ช่ายก็เป็นอันเสร็จสิ้น นางนำไปวางขึ้นโต๊ะที่ท่านย่าสวีและสวีเหม่ยจิ้งกำลังนั่งรออยู่แล้ว เสียงพร่ำบ่นของท่านย่าสวีทำให้สวีเหม่ยหลิงแอบอมยิ้ม ความสามารถของท่านย่าสวีนี่ไม่ธรรมดาเลย สามารถพร่ำบ่นได้เป็นเวลานานมากกว่าชั่วยามโดยที่น้ำเสียงไม่แหบแห้งไปสักนิด หญิงชราผู้นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
“หอมจังเลย” สวีเหม่ยจิ้งเอ่ยพลางสูดจมูกแล้วมองโจ๊กด้วยสายตาคาดหวัง หลังจากสวีเหม่ยหลิงวางโจ๊กลงบนโต๊ะท่านย่าสวีก็พลันมีสีหน้าไม่น่าดูนัก
“เจ้าทำโจ๊กข้นถึงขั้นนี้แล้ววันต่อไปพวกเราจะกินอะไรกัน” นางเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ ข้าย่อมมีวิธีหาอาหารเพิ่มได้อย่างแน่นอนท่านย่าไม่ต้องกังวล รีบกินเถอะเจ้าค่ะประเดี๋ยวจะเย็นเสียหมด” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยพลางคนโจ๊กตรงหน้า ย่าสวีเหลือมองปริมาณโจ๊กตรงหน้าแล้วก็แอบประหลาดใจ ชามโจ๊กของนางกับสวีเหม่ยจิ้งทั้งข้นและมีปริมาณมาก ส่วนของสวีเหม่ยหลิงกลับมีปริมาณน้อยและดูใสกว่า
นางเหลือบมองหลานสาวแล้วก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก นี่หลานสาวของนางป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วหรือไม่ ปกตินางมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่สุดไม่มีทางยกโจ๊กที่ทั้งหอมทั้งเข้มข้นให้กับน้องชายเช่นนี้แน่ อีกทั้งยังสีหน้ายิ้มแย้มไม่งอง้ำและบูดบึ้งของนางอีก ถ้าไม่ติดว่าซีดเซียวไปสักนิดก็ดูงดงามขึ้นผิดตาไปมากทีเดียว ยังไม่นับคำพูดคำจาและท่าทางมีอารมณ์ขันนั่นอีก ย่าสวีจึงพยายามข่มใจแล้วเอ่ยกับหลานสาวด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น
“ข้าพอจะมีเงินอยู่นิดหน่อย เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วเจ้าก็เอาไปซื้อยามาต้มกินเถิด” ย่าสวีเอ่ยพลางตัดใจนำเงินที่ตนเองซุกซ่อนเอาไว้ออกมาส่งให้หลานสาว
“พี่สาวป่วยหรือขอรับ” สวีเหม่ยจิ้งเอ่ยถามด้วยความตกใจ เขารีบเดินไปตรงหน้าสวีเหม่ยหลิงแล้วยกมือขึ้นมาวางทาบทับหน้าผากของสวีเหม่ยหลิงในทันที
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ท่านย่าเก็บเงินไว้เถิดเจ้าค่ะ เผื่อวันข้างหน้ามีความจำเป็นต้องใช้” สวีเหม่ยหลิงเอียงใบหน้าหลบหนีฝ่ามือของน้องชายแล้วเอ่ยกับย่าสวีด้วยรอยยิ้ม
“ท่านล้มป่วยจริงๆ ด้วย เมื่อก่อนพี่สาวถึงกับกล้าขโมยเงินของท่านย่าเสียด้วยซ้ำ ท่านที่เป็นเช่นนี้จะต้องไม่ปกติอย่างแน่นอน” ได้ยินสวีเหม่ยจิ้งเอ่ยเช่นนี้สวีเหม่ยหลิงก็หัวเราะออกมาอย่างรู้สึกผิด สวีเหม่ยหลิงคนเก่ามักจะชอบขโมยเงินของท่านย่าสวีเสมอ นางเป็นคนชอบแต่งตัวเงินทั้งหมดที่ขโมยได้จึงมักจะหมดไปกับเสื้อผ้าและเครื่องประทินโฉม
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่คิดได้ว่าอีกไม่นานข้าก็ต้องแต่งออกไปแล้ว ท่านย่าควรจะเก็บเงินให้น้องชายน่าจะเป็นการดีกว่า” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยเช่นนี้ทั้งย่าและหลานชายก็อุทานออกมาพร้อมกัน
“แต่งงาน!”
“ก็ท่านย่าพูดคุยเรื่องแต่งงานของข้ากับแม่สื่อแล้วมิใช่หรือ ข้าคาดว่าอีกไม่นานข้าก็คงต้องแต่งออกไป น้องชายยังเด็กท่านย่าเองก็แก่แล้ว มีเงินให้มากสักหน่อยก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือเจ้าคะ” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยเช่นนี้ท่านย่าสวีก็พลันนิ่งงันไป
“ที่แท้เจ้าก็รู้เรื่องการแต่งงานแล้ว” ย่าสวีเอ่ยพลางพยักหน้าเป็นทำนองว่าตนเองเข้าใจแล้ว
“พี่สาวกำลังจะแต่งงานหรือ ทำไมข้าจึงไม่รู้เลย แต่งกับผู้ใดกันใช่พี่เซี่ยหรือป่าว” สวีเหม่ยจิ้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้แต่ย่าสวีกลับดุเขาอย่างที่น้อยครั้งจะทำในทันที
“เรื่องของผู้ใหญ่เจ้าจะถามทำไมให้มากความ รีบกินเข้าเถอะประเดี๋ยวโจ๊กจะเย็นเสียก่อน” ย่าสวีเอ่ยพลางคนโจ๊กแล้วตักขึ้นใส่ปาก แต่รสชาติของโจ๊กทำให้นางเบิกตาโพลงในทันที
“นี่เจ้าใส่เกลือลงไปหรือ” ย่าสวีเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“เพื่อเพิ่มรสชาติอย่างไรเล่าเจ้าคะ ถึงเกลือจะแพงแต่ท่านไม่ต้องกังวล วันหน้าข้าย่อมหาทางส่งมาให้ท่านได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยเช่นนี้ย่าสวีก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ยังไม่ทันได้แต่ง เจ้าก็คิดจะเบียดเบียนทรัพย์สินของสามีมาให้บ้านเดิมแล้วหรือ ถึงข้าจะเป็นยายแก่ขี้งกแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่จนถึงขั้นให้เจ้าไปเบียดเบียนผู้อื่นหรอกนะ” ได้ยินย่าสวีเอ่ยเช่นนี้สวีเหม่ยหลิงก็แอบทอดถอนใจในทันที ไม่ชอบเบียดเบียนผู้อื่นหรือ แต่ข้าได้ยินมาว่าท่านกำลังจะขายข้าให้แต่งงานออกไปกับคนขี้โรคเลยเชียวนะ
“เอาเป็นว่าท่านกินเถอะ ไม่ต้องกังวลถึงวันข้างหน้าหรอก” สวีเหม่ยหลิงเอ่ยพลางก้มลงกินโจ๊กตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่เริ่มจะขุ่นมัวขึ้นมาอีกนิด
ถึงอย่างไรความนึกคิดและความทรงจำของสวีเหม่ยหลิงคนเก่าก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ต่อให้สวีอ้ายฉิงจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากเพียงใดแต่ก็ยังอดรู้สึกไม่พอใจในเรื่องที่ย่าสวีทำกับร่างนี้ไม่ได้
แล้วอย่างไรเล่าถึงอย่างไรย่าสวีก็เลี้ยงดูร่างนี้มา ต่อให้ไม่ได้รักใคร่เอาใจใส่เท่าสวีเหม่ยจิ้งแต่นางก็ไม่เคยใช้ให้สวีเหม่ยหลิงต้องออกไปทำงานอันยากลำบากในแปลงนา ทุกวันนี้ครอบครัวนางอยู่ด้วยค่าเช่าที่ดินที่มีเพียงน้อยนิด แต่ย่าสวีก็เลี้ยงดูนางและน้องชายอย่างสุดกำลังของนางแล้วถึงแม้ว่าจะมีความลำเอียงอยู่บ้างก็ตามที
