บทที่1 สวีอ้ายฉิงผู้ทะลุมิติ
ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนอันเย็นเฉียบ พัดพาความเหน็บหนาวจนเกาะกินลึกถึงกระดูก สวีเหม่ยหลิงลืมตาขึ้นมาท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็น นางกะพริบตาอยู่หลายครั้งเพื่อขับไล่ความมึนงง แล้วค่อยๆ ขยับกายเพื่อลุกนั่ง ภาพความทรงจำพากันหลั่งไหลมาไม่ขาดสายเสีย จนนางต้องหลับตาลงอีกครั้งเพื่อสะกดความวิงเวียนที่ได้รับ
สุดท้ายนางก็พลันลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ ก้มลงมองเสื้อผ้าที่ตนใส่อยู่แล้วจึงได้เข้าใจ นางขยับมือที่หนาวเย็นเสียจนแข็งเกร็งไปหมดมาหยิกที่ต้นขาของตนเองอย่างรุนแรง
“ซี๊ด เจ็บ!” เมื่อได้คิดทบทวนอีกครั้งสุดท้ายหยาดน้ำตาก็พากันร่วงหล่นลงมาจนเต็มใบหน้า
สวีอ้ายฉิงไม่สิ ยามนี้นางกลายมาเป็นสวีเหม่ยหลิงแล้วยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาอย่างปลงตกในที่สุด หลังจากนางผ่านการอ่านหนังสืออย่างหนักไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพื่อเตรียมตัวสอบมาหลายคืน เมื่อคืนนี้ยังเฉลิมฉลองหลังสอบเสร็จด้วยการอดตาหลับขับตานอนอีกครั้ง เพื่อไปอ่านนิยายเรื่องโปรดที่ลงตอนจบบนแพลทฟอร์มนิยายออนไลน์ที่นางชื่นชอบ แล้วสุดท้ายนางจึงได้มาลงเอยอยู่ในร่างนี้
“พี่สาว พี่สาวขอรับ พี่สาว” เสียงเล็กๆ ของเด็กตะโกนร้องเรียกด้วยน้ำเสียงที่ปะปนไปด้วยเสียงสะอื้นดังแว่วอยู่ไกลๆ เมื่อเห็นว่านางนั่งอยู่ตรงบริเวณนี้ ร่างเล็กนั้นก็รีบวิ่งตรงมาหานางในทันที
“พี่สาว! เหตุใดพี่จึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ ข้าตามหาท่านตั้งนานแล้ว” เด็กชายตัวน้อยเดินมาจับมือของนางพลางเอ่ยต่อว่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ
“พี่มาตักน้ำแต่ไม่ระวังจนสะดุดล้มลงไป เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอกพี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก” ประโยคหลังสวีเหม่ยหลิงเอ่ยปลอบน้องชายของตนเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาจนเต็มสองตา
“อ่างน้ำในบ้านก็เต็มทุกใบแล้วท่านยังจะมาตักน้ำไปอีกทำไมกัน” เขาต่อว่าพลางก้มลงเก็บถังน้ำที่ว่างเปล่าขึ้นมา เมื่อมองเห็นว่าพื้นทั้งเปียกชื้นและหนาวเย็นด้วยความเฉลียวฉลาดจนเกินวัยของเขาก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าพี่สาวของเขามาตักน้ำไปให้ผู้ใด
“นี่ท่าน!..” เด็กชายยังไม่ทันเอ่ยจบสวีเหม่ยหลิงก็รีบเอ่ยเพื่อตัดบทในทันที
“พวกเรารีบกลับบ้านกันดีกว่า ข้าทั้งเปียกทั้งหนาว หากยังอยู่ที่นี่ด้วยสภาพเช่นนี้ต่อ เห็นทีว่าข้าจะต้องล้มป่วยแน่ๆ ” เอ่ยจบสวีเหม่ยหลิงก็รีบแย่งถังน้ำในมือของน้องชายมาถือไว้ แล้วรีบเดินกลับไปที่บ้านของตนเองในทันที เด็กชายตัวน้อยก็รีบวิ่งติดตามนางกลับไปเช่นกัน
เห็นบ้านไม้หลังเล็กทั้งเก่าและทรุดโทรมปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า สวีเหม่ยหลิงก็พลันทอดถอนใจออกมาด้วยความสังเวชใจ ครอบครัวสวีเป็นครอบครัวยากจนในชนบท ประกอบไปด้วยท่านย่าสวีผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน และนางกับสวีเหม่ยจิ้งผู้เป็นน้องชาย เพราะทั้งบ้านมีเพียงเด็ก สตรีและคนชรา บ้านสกุลสวีจึงได้ยากจนกว่าคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน
สวีเหม่ยหลิงไล่น้องชายให้รีบไปนอน ส่วนตนเองก็รีบกลับห้องของตนเพื่อเช็ดตัวและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืด นางไม่อยากจุดตะเกียงหรือเทียนไขซึ่งถือว่าเป็นความฟุ่มเฟือยจนเกินไป แล้วจึงได้ไปนั่งทบทวนถึงความเป็นอยู่ของครอบครัวสวีด้วยจิตใจอันหนักหน่วง
จากความทรงจำของนางเนื้อหาในนิยายจะเอ่ยถึงเพียงว่าท่านย่าสวีเป็นหญิงชราผู้เห็นแก่เงินมากคนหนึ่ง รักหลานชายมากกว่าหลานสาว นางมักทุบตีสวีเหม่ยหลิงมาตั้งแต่เด็กจนทำให้สวีเหม่ยหลิงเป็นคนอารมณ์ร้ายและเห็นแก่ตัว
เพราะความเป็นอยู่อันอัตคัด สวีเหม่ยหลิงจึงเห็นพี่ชายสกุลเซี่ยที่ทั้งใจดีมีรูปร่างหน้าตาดี กิริยาและการแต่งกายก็แต่งต่างจากชาวบ้านทั่วไปเป็นดั่งเทพบุตรเดินดินเลยทีเดียว เซี่ยเหวินหลางคือพระเอกในนิยายที่มีความสุภาพใจดี มีเมตตา มีความมานะและทะเยอทะยาน ใต่เต้าจากบัณฑิตยากจนจนสามารถสอบเข้ารับราชการและประสบความสำเร็จในชีวิต
จุดด่างพร้อยเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือสวีเหม่ยหลิงคนนี้ เพราะต้องการช่วยเหลือนาง ที่ถูกท่านย่าผู้เห็นแก่เงินบังคับขายนางให้ไปแต่งกับคุณชายสกุลจี้ผู้อ่อนแอและขี้โรค เขาพานางติดตามไปเมืองหลวงด้วยในฐานะน้องสาวทั้งที่รู้ดีว่านางคิดกับเขาเกินพี่ชาย สุดท้ายเพียงเพราะความริษยาทำให้นางคิดร้ายกับสตรีที่เขารัก แม้ว่าสวีเหม่ยหลิงจะกระทำการไม่สำเร็จแต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้นางทำลายคนในครอบครัวของเขาได้อีก เขาจึงได้กำจัดนางอย่างเลือดเย็นและสะใจคนอ่านอย่างที่สุด
สวีเหม่ยหลิงคิดถึงบทสรุปสุดท้ายของตนเองในนิยายแล้วก็อดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวไม่ได้ ถูกรุมบังคับขืนใจแล้วก็ยังถูกตัดแขนตัดขาโยนทิ้งให้สัตว์ป่ากัดกินในที่ดินรกร้าง ไม่รู้คนเขียนไปโกรธเคืองผู้ใดมาจึงได้นำอารมณ์ทั้งหมดมาลงกับนางร้ายในนิยายเช่นนาง ทั้งที่นางยังไม่ทันได้ทำร้ายนางเอกจนสำเร็จเสียด้วยซ้ำ
คิดแล้วก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ เมื่อคืนหลังจากอ่านนิยายจบก่อนที่สติของสวีอ้ายฉิงจะดับวูบลงไป นางยังมีหน้าไปเอ่ยกับเพื่อนร่วมห้องของตนเองว่า รู้สึกสงสารตัวร้ายในนิยายเหลือเกินถ้ายังอยู่กับสามีขี้โรคของตนเองก็ต่อไปก็คงไม่ต้องได้รับบทสรุปเช่นนี้
หลงรักพระเอกมาตั้งแต่เด็ก ทำเพื่อพระเอกแทบจะทุกอย่าง หาบน้ำตัดฟืน บางครั้งยังแอบไปรับจ้างเย็บปักเพื่อนำเงินไปซื้อของบำรุงร่างกายให้พระเอก เขาจะได้มีเรี่ยวแรงในการอ่านหนังสือ ทั้งที่ถ้านางเชื่อย่าของนางสักนิดทนอยู่กับสามีขี้โรคของตนเอง จะมีลูกหรือไม่มีเขาก็คงไม่อาจจะตำหนินางได้
ถึงแม้จี้เหวินเต๋อสามีของนางจะเป็นคุณชายตกยาก แต่เงินในบ้านของเขาก็ยังมีพอที่จะเลี้ยงดูนางได้อย่างไม่ลำบาก ไม่เพียงเท่านั้นในตอนที่นางอยู่เมืองหลวง ขณะที่กำลังป่าวประกาศกับบ้านของนางเอกว่าตนเองคือภรรยาที่ไม่ได้แต่งของเซี่ยเหวินหลาง สามีขี้โรคของนางกลับกลายเป็นญาติต่างสกุลของจางเพ่ยเจินนางเอกของเรื่อง ไม่เพียงเท่านั้นเขายังกลายเป็นคหบดีที่เป็นเจ้าของกิจการร้านค้าหลายแห่งในเมืองหลวงอีกด้วย
ยามนั้นสวีเหม่ยหลิงทั้งโกรธแค้นและอับอาย เมื่อสามีของตนออกหน้ามาบอกว่านางคือภรรยาที่ตบแต่งของเขา ในเมื่อนางคิดอยากจะเป็นภรรยาของเซี่ยเหวินหลางเขาก็ยินดีที่จะหย่าขาดให้ นางถูกคนในบ้านสกุลจางทั้งดูหมิ่นและเหยียดหยาม แล้วยังถูกเซี่ยเหวินหลางปฏิเสธอย่างแข็งขันต่อหน้าผู้คน ความร้ายกาจของนางจึงเริ่มเผยโฉมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป
ยามนี้นางคือสวีเหม่ยหลิงไม่ใช่สวีอ้ายฉิงนักศึกษาปีสามที่ต้องมุ่งมั่นสอบชิงทุนอีกต่อไปแล้ว เมื่อมองไปรอบกายแล้วสวีเหม่ยหลิงก็ทอดถอนใจออกมา ช่างเถิดเป็นสวีเหม่ยหลิงก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยนางก็รู้แล้วว่าติดตามเซี่ยเหวินหลางมีแต่ความยากลำบาก มิสู้ตอนนี้นางพยายามหาเลี้ยงตนเองรอวันได้ไปเสพสุขกับความร่ำรวยของสามีที่จะกลายเป็นเศรษฐีในอนาคตไม่ดีกว่าหรือ
