บทที่ 4 โลกในนิยาย
หลังจากสองแม่ลูกสกุลโจวกลับไปแล้ว เจียงซูหลันก็จัดการล้างถ้วยล้างชามอย่างละเอียดอีกรอบ ที่คุณแม่โจวพูดมาล้วนเป็นความจริงหลินเหม่ยหลันเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวเป็นอย่างมาก เรื่องบ้านเรือนสกปรกยังพอรับได้ แต่ภาชนะที่ใช้ในครัวเรือนยังแทบจะไม่ยอมทำความสะอาดเลยเช่นนี้ออกจะเป็นเรื่องที่ปล่อยปละละเลยจนเกินไป
เด็กสองคนกำลังแอบมองเธออยู่ทางด้านหลัง แต่เธอไม่ได้ให้ความสนใจในตัวพวกเขามากนัก นอกจากจะรีบเร่งมือทำความสะอาดแล้ว เธอยังลงมือเคี่ยวโจ๊กข้าวขาวใส่ไข่เพิ่มอีกหม้อหนึ่งด้วย แล้วจึงได้ยกอาหารที่คุณแม่โจวนำมาและโจ๊กที่เธอต้มนำมาวางที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆ แล้วหันไปเรียกเด็กทั้งสองให้มากินข้าว หลังจากนั้นเธอก็ยกอาหารไปให้สามีของหลินเหม่ยหลันที่นอนอยู่ในห้องด้วยสีหน้าเย็นชา...
'ก็ใครใช้ให้เขามีหน้าเหมือนลู่หยางหมิงเล่าฉันมีสีหน้าดีๆ ให้เขาไม่ได้จริงๆ ’ เจียงซูหลันคิดอยู่ในใจพลางยกอาการไปวางเอาไว้บนโต๊ะเล็กในห้อง แล้วหันไปพูดกับเขาเสียงเบา
“คุณลุกขึ้นมากินข้าวไหวไหม ต้องให้ฉันช่วยประคองหรือเปล่า”
“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ แค่จะลุกไปต่อว่าคุณผมยังไม่ค่อยจะมีแรงเลย” เขาพูดพลางพยายามขยับตัว เจียงซูหลันจึงทอดถอนใจออกมาแล้วไปช่วยประคองเขามาที่โต๊ะกลางบ้าน นอกจากจะผอมบางเป็นอย่างมากแล้วยามนี้เขายังมีไข้อีกด้วย ขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บของเขายังกะเผลกอยู่ทำให้เขาต้องทิ้งตัวลงมาทางเธอมากหน่อยเธอจึงจะสามารถประคองพาเขาเดินไปที่โต๊ะได้
“ลูกๆ ก็ยังไม่ได้กินข้าว” เขาพูดเสียงเบาซึ่งเธอก็ทอดถอนใจออกมาแล้วพูดกับเขาเสียงเบา
"ฉันเตรียมอาหารให้พวกเขาแล้ว” เมื่อเธอพูดเช่นนี้ทั้งเจินจูและเสี่ยวอวิ๋นที่กำลังแอบดูพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูก็รีบผละออกจากกรอบประตูห้องนอนในทันที
“คุณเองก็ยังไม่ได้กินข้าวไม่ใช่หรือมากินด้วยกันสิ” คำพูดของเขาทำให้เจียงซูหลันต้องจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาซึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเธอด้วยสายตาสงบนิ่ง
“ผมอยากให้คุณอยู่กับผมและลูกๆ ผมสัญญาว่าผมจะดูแลตนเองให้ดีและรีบฟื้นตัวเพื่อที่จะดูแลคุณและลูกๆ ให้มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้” คำพูดของเขาทำให้เจียงซูหลันเม้มปากในใจก็คิดว่าคงจะดีกว่านี้ถ้าใบหน้าของเขาจะไม่เหมือนกับแฟนเก่าของเธอ
“ฉันไม่ไปไหนหรอก ตั้งใจจะอยู่ที่นี่แล้ว คุณรีบกินข้าวเถอะฉันจะไปกินข้าวกับเด็กๆ " เมื่อพูดจบเจียงซูหลันก็เดินออกจากห้องไปไม่รู้สักนิดว่ากำลังมีคนจ้องมองตามเธอทางด้านหลังด้วยสายตาที่เปล่งประกายแห่งความมุ่งมั่นบางอย่าง
เด็กๆ กำลังนั่งจ้องมองอาหารด้วยความหิวโหยแต่กลับยังไม่ได้ลงมือ เมื่อเจียงซูหลันนั่งลงก็ตักโจ๊กข้าวขาวให้พวกเขาคนละถ้วย และตักอีกถ้วยหนึ่งให้ตนเอง เธอแบ่งไข่ไปให้สามีของหลินเหม่ยหลันสองฟอง เหลืออีกสี่ฟองเธอจึงนั่งปอกและแบ่งให้เด็กสองคนคนละสองฟอง ดูเหมือนว่าเด็กๆ จะตกตะลึงเป็นอย่างมากกับการกระทำของเธอ ซึ่งเธอไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด
หลินเหม่ยหลันที่ในนิยายเขียนไว้เป็นคนใจดำ เธอจะต้องไม่ได้ให้ลูกๆ ของเธอได้กินอาหารที่ดีและมีประโยชน์เป็นแน่ เห็นได้จากร่างกายที่ขาดสารอาหารของเด็กๆ คุณแม่โจวและโจวหวันหว่านคงจะเอาอาหารมาให้ตลอดจริงๆ แต่คงไม่ได้อยู่ดูว่าเด็กๆ ได้กินอาหารที่พวกเธอนำมาหรือไม่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเจียงซูหลันก็ได้แต่ลอบด่าหลินเหม่ยหลันอยู่ในใจ ไม่ใช่สิ! อันที่จริงต้องโทษคนที่เขียนนิยายเรื่องนี้มากกว่า เด็กสองคนที่ขาดสารอาหารและจ้องมองไข่ต้มราวกับจ้องมองอาหารล้ำค่าเช่นนี้ จะต้องได้รับการเลี้ยงดูมาแบบอดอยากมากเป็นแน่ หลินเหม่ยหลันใจร้ายน่าดูแม้แต่กับลูกของตัวเองก็ยังใจจืดใจดำได้เช่นนี้
“รีบกินเข้าสิ สายมากแล้ว” เธอพูดพลางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกระดูกหมูยื่นไปให้เด็กๆ คนละชิ้นส่วนตัวเธอเองก็รีบรากบัวที่ถูกตุ๋นจนอ่อนนุ่มขึ้นมาเคี้ยวกินต่อหน้าเด็กๆ รสชาติของน้ำแกงซึมซับอยู่ในรากบัวอันอ่อนนุ่มและสดใหม่ทำให้เจียงซูหลันพยักหน้าให้กับตัวเองอย่างพึงพอใจ แม้ว่าจะไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมากมายแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าอาหารแช่แข็งที่เธอมักจะอุ่นกินเป็นประจำทุกวันตอนที่อยู่ในโลกที่เธอจากมา
เด็กๆ ค่อยๆ คีบตะเกียบกินอย่างระมัดระวังในตอนแรก หลังจากนั้นกินลงมือกินอย่างรวดเร็วด้วยความหิวโหย เจียงซูหลินดื่มเพียงน้ำแกงและกินโจ๊กข้าวถ้วยเล็กๆ จนหมด หลังจากนั้นเธอก็นั่งดูเด็กๆ กินอาหารด้วยความพึงพอใจ
ปากเล็กๆ เคียวอาหารไม่ได้หยุด มือน้อยๆ ขยับตะเกียบอย่างคล่องแคล่วใช้เวลาเพียงไม่นานอาหารทั้งหมดบนโต๊ะก็ถูกเด็กทั้งสองจัดการจนหมดเกลี้ยง หลังจากนั้นพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอด้วยความเขินอาย เมื่อรู้ตัวแล้วว่าเมื่อครู่นี้พวกเขากินอย่างเอร็ดอร่ยจนหลงลืมทุกอย่างรอบกาย
“เอาล่ะ กินเสร็จแล้วก็ควรจะช่วยเก็บถ้วยชามเอาไปไว้ที่อ่างหลังบ้าน ฉันจะไปดูพ่อของพวกเธอเสียหน่อย ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากินอิ่มแล้วหรือยัง” เจียงซูหลันพูดพลางขยับตัวลุกขึ้น เธอเดินไปทางห้องนอนของพ่อของเด็กๆ แล้วก็ขมวดคิ้วกับคราบสกปรกและฝุ่นผงที่มีอยู่เต็มบ้าน หลังจากนี้เธอคงจะต้องทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ หากคิดจะอยู่ที่นี่เธอคงจะต้องปรับปรุงที่พักอาศัยเสียก่อน
“คุณกินอาหารเสร็จแล้วหรือ” คำถามของเธอได้รับคำตอบด้วยสายตาเย็นชา เขามองเธอราวกับว่าเธอถามคำถามที่ปัญญาอ่อนเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าอาหารบนโต๊ะหมดเกลี้ยงแทบจะทุกอย่างแล้วเธอก็พยักหน้าให้กับตนเองพลางคิดในใจว่า ‘ฉันถามคำถามที่ไม่น่าจะถามออกไปจริงๆ ด้วย’
เธอรวบรวมถ้วยชามทั้งหมดใส่ถาดอาหารแล้วยกออกไปด้านนอก เพื่อเตรียมตัวจะล้างจาน แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองกำลังช่วยกันล้างจานชามอย่างระมัดระวังอยู่หลังบ้าน เธอยิ้มออกมาแล้วค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงใกล้กับเด็กๆ แล้วก็ค่อยๆ สอนให้พวกเขาล้างจานชามอย่างพิถีพิถันและระมัดระวัง ทำอย่างไรจึงจะชำระคราบมันของอาหารได้จนหมด
หลังจากนั้นเธอก็ไล่ให้เด็กๆ ไปพักผ่อน ส่วนเธอก็เดินสำรวจบริเวณรอบๆ บ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น ได้ยินเสียงเด็กๆ กำลังพูดคุยกับพ่อของเขาในห้องนอนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแล้วเธอก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ พวกเขาสามคนพ่อลูกคงจะสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก จึงได้พูดคุยกันอย่างกลมเกลียวได้เช่นนี้
บ้านน้อยหลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่ายมีห้องนอนสองห้อง ห้องหนึ่งยกให้พ่อของเด็กๆ ส่วนอีกห้องเป็นห้องที่หลินเหม่ยหลันใช้นอนร่วมกับเด็กๆ สวนหลังบ้านมีร่องรอยแปลงผักที่ทิ้งร้างเอาไว้ ด้านหลังเป็นลำธารสายเล็กๆ และธรรมชาติที่ทำให้เธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจ
ภาพภูเขาตัดกับสายน้ำอย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้เธอไม่ได้เห็นมานานแล้ว ก่อนหน้าที่จะทะลุมิติเข้ามาที่นี่เธออาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาคารที่สูงเสียดฟ้า สภาพภูมิอากาศก็เต็มไปด้วยฝุ่นควัน แต่เมื่อคิดได้ว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้ล้วนเป็นโลกในนิยายที่ระบบสร้างขึ้นเธอก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมาอย่างเสียดายที่มันไม่ใช่ความจริง
