บทที่ 6 บ้านสกุลเถียน
การนั่งรถไถเดินทางกลับหมู่บ้านชิงซาน เถียนจิวเมิ่งไม่ได้รู้สึกลำบากมากเหมือนการเดินทางไปที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาหรือว่าเธอเริ่มรู้สึกเคยชินแล้วกันแน่ ตัวเธอจึงนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของหานชุยเหยียนมาตลอดทาง
คุณลุงเหอเป็นคนใจดีเขาจึงช่วยขับรถไถพาคนสกุลเถียนทั้งสี่คนมาส่งถึงหน้าบ้านสกุลเถียนที่อยู่ห่างไกลจากบ้านคนอื่นจนเกือบถึงท้ายหมู่บ้าน บ้านของสกุลเถียนมีบริเวณบ้านกว้างใหญ่กว่าบ้านหลังอื่นๆ มีกำแพงบ้านเป็นเสาไม้นำไม้ไผ่มาสานขัดแตะกลายเป็นรั้วบ้าน
ภายในบริเวณบ้านถูกแบ่งออกเป็นบ้านใหญ่และบ้านรองโดยมีรั้วคันดินต่ำๆ ที่มีต้นไม้เลื้อยไต่เกาะจนดูคล้ายกำแพงมีสีเขียวกั้นกลางของทั้งสองบ้านเอาไว้ ทั้งสองบ้านมีประตูเข้าออกด้านหน้าอยู่ติดกัน
เถียนจิวเมิ่งสืบรู้เรื่องในเวลาต่อมาว่า คุณพ่อของร่างนี้ขอแยกครอบครัวออกมาปลูกบ้านหลังใหม่ในเขตที่ดินของคุณปู่และคุณย่า เพราะการมีปัญหากันของสะใภ้ใหญ่และสะใภ้เล็ก ตั้งแต่ในช่วงที่หานชุยเหยียนกำลังมีเถียนอวี้เจี๋ยอยู่ในท้อง
เมื่อมีการแยกบ้านดังนั้นแต้มคะแนนจากครอบครัวบ้านใหญ่จะไม่ถูกแลกอาหารนำมาแบ่งให้บ้านรอง แต่บ้านรองยังจะต้องให้เงินบ้านใหญ่เดือนล่ะสิบหยวนเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อคุณปู่และคุณย่าที่อาศัยอยู่ในบ้านใหญ่กับลูกชายและลูกสะใภ้คนโต
เดินทางมาถึงหมู่บ้านชิงซานในเวลาที่เกือบจะมืดค่ำ จึงทำให้เถียนจิวเมิ่งได้พบกับคุณปู่ของร่างนี้ รวมไปถึงคุณลุงใหญ่และพี่ชายใหญ่ที่เป็นลูกชายของบ้านใหญ่เป็นครั้งแรก เพราะพวกเขาเลิกงานกันแล้วจึงมารอรับคนกลับบ้านอย่างพร้อมหน้า
คุณปู่เถียนจิ้นทงในปีนี้เขามีอายุ 55 ปีเท่านั้น แต่เป็นเพราะเขาผ่านการทำงานหนักและผ่านสภาวะความอดอยากมานานหลายปีจึงดูแก่ชรากว่าอายุจริงค่อนข้างมาก
“ยายเฒ่าอาการของยัยหนูเมิ่งเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นอะไรแล้ว กินข้าวกินยาในรอบนี้ก็น่าจะหายดีแล้ว มืดค่ำขนาดนี้แล้วตาเฒ่าอย่างเจ้ากินอาหารเย็นหรือยัง” คุณปู่เถียนอ้าปากจะตอบ คุณย่าเถียนกลับชิงตอบก่อนว่า “ยัง? ตอนนี้คงจะรู้สึกหิวแย่แล้วสินะ”
เถียนจิ้นทง” … “
เขากลืนน้ำลายแล้วฝืนหัวเราะพูดว่า “ไม่หิวๆ พวกเรารีบพายัยหนูหนูเมิ่งเข้าไปในบ้านของพวกเราก่อน แม่ของอาจิ้งวันนี้ไม่ต้องทำกับข้าวแล้วนะ เจ้าใหญ่สั่งให้เสี่ยวเจินทำอาหารเผื่อพวกเจ้าสองคนแม่ลูกเอาไว้แล้ว”
เมื่อรู้ว่าในวันนี้บ้านของตนเองต้องทำอาหารแบ่งมาให้บ้านรองมากินอีกแล้ว ดวงตาของโจวเหม่ยฟางพลันลุกโชนกำลังจะอ้าปากพูดถ้อยคำไม่ดีออกมา แต่เมื่อเธอมองเห็นเถียนเจี้ยนกั๋วกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยดวงตาดุร้าย เธอจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“น้องสะใภ้รองพาเสี่ยวเมิ่งเข้ามาในบ้านก่อน ทางนี้จุดกระถางไฟเพิ่มความอบอุ่นเอาไว้แล้ว ส่วนบ้านรอง น้องสะใภ้เอากุญแจบ้านให้ต้าเจี้ยน เขาจะได้ไปจุดกระถางไฟในห้องของเสี่ยวเมิ่งรอเอาไว้ก่อน หลานสาวจะได้ไม่ต้องสัมผัสอากาศหนาวเย็นมากเกินไป”
“ใช่ๆ อาสะใภ้รอง วันนี้ผมเลิกงานเร็วจึงไปเก็บท่อนฟืนมากองไว้เป็นจำนวนมาก เพราะจะได้แบ่งไปจุดไฟให้ที่ห้องนอนของน้องสาวได้”
ความจริงหานชุยเหยียนอยากจะพาลูกสาวกลับไปพักผ่อนที่บ้านของตัวเองมากกว่า แต่เมื่อคิดได้ว่าร่างกายของจิวเมิ่งอ่อนแอเจ็บป่วยง่าย เธอจึงเปลี่ยนใจแล้วตอบทางฝ่ายนั้นไปว่า
“ขอบคุณพี่ใหญ่มากค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันและลูกสาวคงจะต้องขอไปรบกวนบ้านใหญ่แล้ว ต้าจางอาสะใภ้ต้องรบกวนเธออีกแล้ว นี่จ้ะกุญแจบ้าน อ่อ…รบกวนเธอช่วยจุดตะเกียงส่องทางเอาไว้ให้อาสะใภ้ด้วยนะ”
“ได้ครับ อาสะใภ้มีของอะไรให้ผมถือเอาไปเก็บที่บ้านของอาก่อนไหม”
“ไม่มีจ้ะ”
ฟังทุกคนพูดคุยกันเรื่องการเดินทางอยู่พักใหญ่ เถียนจิวเมิ่งจึงรู้ว่าผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนี้คือเถียนเจี้ยนกั๋ว ส่วนชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่แต่ดูอายุน้อยกว่าลุงใหญ่มาก ก็คือเถียนจางหย่ง ทุกคนในหมู่บ้านต่างเรียกชื่อเล่นเขาว่าต้าจาง
เถียนจิวเมิ่งยังไม่ทันได้พูดจาทักทายใคร เธอก็ถูกลุงใหญ่ช่วยอุ้มคนลงจากรถไถเพื่อพาไปส่งภายในบ้าน คราวแรกเถียนจิวเมิ่งรู้สึกอึดอัดและอยากจะบอกให้รีบวางตัวเธอลง
แต่เมื่อหันไปเห็นสีหน้าของทุกคนที่ดูเหนื่อยล้ากันเต็มที่แล้ว ถ้าหากจะต้องมาช่วยเข็นเก้าอี้ไม้ของเธอเข้าไปในบ้านอีกคงจะยุ่งยากและสร้างความลำบากให้แก่คนอื่น เธอจึงทำเสมือนว่าตนเองได้กลายเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งที่ถูกคนอุ้มไปทางไหนก็ได้แทน
เถียนจิวเมิ่งถูกวางลงบนเก้าอี้ภายในบ้านที่สว่างไสว เห็นได้ชัดว่าคุณลุงใหญ่อุ้มเธอจนเคยชินแล้ว ทุกคนก็คงจะชินตาด้วยเช่นกัน จึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่เธอถูกอุ้มแม้แต่คนเดียว คุณย่าเถียนรีบไปจุดตะเกียงทำให้แสงไฟส่องสว่างเพิ่มขึ้นภายในบ้าน แล้วหันมาพูดกับหลานสาวด้วยน้ำเสียงเอาใจว่า
“ย่ารู้ว่ายัยหนูกลัวความมืด สว่างขนาดนี้คงจะไม่กลัวแล้วใช่ไหม”
เถียนจิวเมิ่งพยักหน้าตอบ แล้วคิดสงสัยในใจว่าทำไมคุณย่าเถียนจึงได้รักใคร่ลำเอียงเจ้าของร่างนี้เป็นอย่างมาก และทุกคนเลี้ยงดูร่างนี้มาแบบไหนกัน อายุ13 ปีก็ถือได้ว่าเป็นสาวน้อยคนหนึ่งได้แล้ว แต่ทุกคนยังมองเห็นเธอเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่เลย
คนอื่นๆ พูดคุยกันเสียงเบา ก่อนจะมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้องโถงรับแขกด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ในมือของเธอถือถาดใส่อาหารมาด้วย
คุณย่าเถียนเอ่ยถามคนมาใหม่ว่า “เสี่ยวเจินอาหารมื้อนี้มีอะไรให้กินบ้าง”
“อาหารมื้อนี้มีหมั่นโถวแป้งข้าวขาว ผัดมันเทศ มะเขือเทศผัดไข่ และมีน้ำแกงไก่ค่ะ”
เถียนจิวเมิ่งมองดู ‘เสี่ยวเจิน’ แล้วคิดในใจว่าคนนี้คงจะเป็นลูกสาวของเถียนเจี้ยนกั๋วและโจวเหม่ยฟางสินะ
“ยัยหนูเมิ่ง ยังอยากกินอะไรอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกไหม ย่าได้ยินว่าคุณพยาบาลแนะนำให้กินไข่ต้มใช่ไหม เดี๋ยวย่าใช้ให้เสี่ยวเจินไปต้มไข่ไก่มาเพิ่มให้อีกดีกว่า”
“ย่าคะ หนูดับไฟในเตาแล้ว~” เถียนซูเจียวรีบพูดแย้งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ดับไฟแล้วก็จุดใหม่สิ!”
เถียนซูเจียวมีสีหน้าบูดบึ้ง ส่วนโจวเหม่ยฟางรีบส่งเสียงพูดขึ้นมาว่า “แม่! นี่ก็ค่ำมืดแล้วการจุดเตาไฟใหม่สิ้นเปลืองไม่ใช่น้อย น้ำแกงไก่ที่เป็นของดีมากขนาดนี้ ถ้ายังไม่อยากกินอีกก็ให้ยัยเด็กคนนี้กินแค่หมั่นโถวไป…”
“โจวเหม่ยฟาง!” เถียนเจี้ยนกั๋วเรียกชื่อภรรยาของเขาด้วยน้ำเสียงตำหนิ
เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีเถียนจิวเมิ่งจึงกระแอมกระไอแล้วพูดเสียงแหบว่า “มีน้ำแกงไก่ก็ดีมากแล้วค่ะ”
คุณย่าเถียนเห็นว่าลูกชายคนโตกำลังจะทะเลาะกับภรรยา จึงรีบพูดจาเสียงดังกลบเกลื่อนว่า “เอาล่ะๆ มีเท่านี้ก็กินเท่านี้ รีบจัดอาหารนำมาขึ้นโต๊ะเถิด ตาเฒ่าคงจะหิวข้าวมากแล้ว ทีหลังถ้ามีเรื่องแบบนี้อีกคุณควรชวนเจ้าใหญ่และต้าจางกินอาหารก่อนเลยไม่ต้องอดทนรอ เพราะทุกคนทำงานหนักมาทั้งวันแล้ว”
ถึงแม้ว่าคุณย่าเถียนจะพูดบ่นคล้ายตำหนิ แต่ถ้าฟังแล้วจับใจความให้ดีจะรู้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้มีแต่ความเป็นห่วง โต๊ะอาหารไม้ทรงกลมมีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ มีชามข้าวมีตะเกียบครบทุกคน
โจวเหม่ยฟางมองอาหารที่ดูฟุ่มเฟือยด้วยความรู้สึกปวดใจ “เสี่ยวเจินทำไมวันนี้จึงทำอาหารมากมายขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าย่าของลูกบอกให้ทุกคนกินอยู่อย่างประหยัดหรอกหรือ”
เถียนซูเจินถอนหายใจแล้วพูดว่า “พ่อสั่งให้หนูทำค่ะ”
“จะไม่ทำได้อย่างไร ในวันนี้คนทั้งหมู่บ้านลือกันไปทั่วว่าคุณไปตบตีน้องสะใภ้ถึงในบ้าน จนทำให้หลานสาวอย่างเสี่ยวเมิ่งต้องไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนแบบนี้ จริงสิน้องสะใภ้ค่ายาคราวนี้ของเสี่ยวเมิ่งคิดเป็นเงินเท่าไหร่ คราวนี้พี่ใหญ่จะขอช่วยจ่ายค่ายาเอง”
เมื่อเถียนเจี้ยนกั๋วพูดจบ โจวเหม่ยฟางที่ยกตะเกียบเตรียมคีบอาหารขึ้นมากินถึงกับวางตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างรุนแรวแล้วพูดโวยวายขึ้นว่า “จ่ายเงินอะไร ครอบครัวเขามีรายได้ทุกเดือน แต่บ้านเราไม่มีเงินไม่มีรายได้ มีแค่อาหารที่ซื้อขายกันไม่ได้เท่านั้น เงินจากสหกรณ์ที่แบ่งให้ใช้หลังฤดูเก็บเกี่ยวก็น้อยแสนน้อย แล้วคุณดูใบหน้าฉันสิ แล้วคุณดูใบหน้าของน้องสะใภ้รองใครรังแกใครกันแน่”
เถียนเจี้ยนกั๋ววางตะเกียบลงด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เขากำลังจะโต้เถียงภรรยา แต่แม่ของเขาชิงพูดตะโกนตัดหน้าเขาขึ้นมาว่า “พูด! พู๊ด!พูดด! จะพูดคุยกันไปถึงไหน ถ้าพวกแกอยากจะทะเลาะกันก็จงรีบลากจูงกันไปที่ห้องส่วนตัวของพวกแก ทุกคนทางนี้รู้สึกหิวมากแล้ว อีกประเดี๋ยวยัยหนูเมิ่งยังจะต้องรีบกินยาแล้วรีบไปนอน พวกแกอย่ามาเถียงกันจนทำให้ทุกคนกินข้าวไม่ลงเชียวนะ”
บรรยากาศในโต๊ะอาหารพลันเงียบกริบ มีเพียงคุณปู่เถียนเท่านั้นที่เคลื่อนไหวตะเกียบคีบอาหารขึ้นมากินด้วยสีหน้าปกติ มิหนำซ้ำเขายังเอื้อมมือไปหยิบหมั่นโถวสีขาวนวลมาใส่ชามให้เถียนจิวเมิ่ง แล้วพูดกำชับหลานสาวว่า
“ถึงจะไม่อร่อยก็ฝืนใจกินเพิ่มอีกสักหน่อย พอให้มีเรี่ยวแรงก็ยังดี”
“…” เถียนจิวเมิ่ง คนที่รู้สึกไม่อยากกินอาหารบนโต๊ะ แต่คุณปู่คีบอาหารใส่ให้จนเต็มชาม…
“…” เถียนซูเจียว คนที่ทำอาหารอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่คุณปู่พูดหักหน้าอย่างหน้าตาเฉยว่าไม่อร่อย จนต้องฝืนใจกิน…
