บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 เปลี่ยนไป

หลังจากที่เถียนจิวเมิ่งฝืนใจกินอาหารเย็นไปหลายคำ แต่สุดท้ายเธอก็อาเจียนอาหารที่กินเข้าไปออกมาจนหมด สีหน้าของทุกคนจึงดูไม่ค่อยดีนัก มีบางคนที่เป็นห่วงธอมาก มีบางคนที่เสียดายอาหารดีๆ ที่เธอกินเข้าไปแล้วอาเจียนออกจนหมด และยังมีบางคนที่สูญเสียความมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตัวเอง…

เถียนเจี้ยนกั๋วอุ้มหลานสาวที่ดูอ่อนแรงราวกับใกล้จะหมดลมหายใจพามาส่งถึงที่ห้องนอนของหลานสาว โดยมีคุณย่าเถียนที่ขนเครื่องนอนมาเพิ่ม เพื่อจะมานอนเป็นเพื่อนหลานสาวและลูกสะใภ้คนรองตามปกติเมื่อหลานสาวป่วยไข้

หานชุยเหยียนเดินออกมาส่งพี่ชายของสามีถึงหน้าบ้านแล้วพูดขอบคุณเขาด้วยน้ำเสียงเกรงใจ

“ขอบคุณพี่ใหญ่มากนะคะที่ช่วยพาอาเมิ่งมาส่งถึงที่บ้าน เพราะจะเดินไปขอยืมรถเข็นที่สหกรณ์ในเวลานี้ก็คงจะเป็นเรื่องยุ่งยากมากเกินไปค่ะ”

“เรื่องแค่นี้จะพูดขอบคุณให้มากความกันไปทำไม ยัยหนูเมิ่งก็เป็นหลานสาวของพี่ มองเห็นยัยหนูป่วยหนักแบบนี้พี่ใหญ่เองก็รู้สึกไม่สบายใจ ถ้าหากไม่เป็นเพราะเสี่ยวเจินพาน้องสาวไปเดินเล่นและพูดคุยกันที่ริมแม่น้ำจิ่งจนพลัดตกน้ำ ยัยหนูเมิ่งมีหรือจะป่วยหนักจนอาการทรุดลงแบบนี้”

หานชุยเหยียนก้มหน้าลงโดยไม่ยอมพูดอะไร เพราะจะให้พูดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเถียนซูเจิน เธอเองก็ทำใจให้พูดถ้อยคำเหล่านี้ออกจากปากของตนเองไม่ได้

“เรื่องค่ารักษารอบนี้…” เถียนเจี้ยนกั๋วพยายามจะช่วยออกค่ารักษาพยาบาลของหลานสาว แต่หานชุยเหยียนรีบพูดขัดคำพูดของเขาอย่างรวดเร็วว่า

“พี่ใหญ่คะ เมื่อหัวค่ำนี้ที่พี่สะใภ้ใหญ่พูดนั้นถูกต้องแล้วค่ะ ทางบ้านของพวกเรามีเงินจ่ายค่ายาค่ะ ถึงแม้ว่ายาบางชนิดที่อาเมิ่งกินอยู่จะมีราคาสูงมาก แต่จาวหยางยังสามารถหาเงินมาจ่ายไหวค่ะ”

“อย่าพยายามปิดบังพี่ใหญ่อีกเลย พี่ใหญ่รู้นะว่าพวกเธอกำลังลำบากไหนจะค่ายาของเสี่ยวเมิ่ง ไหนจะค่าไปโรงเรียนของอาจิ้งกับอาเจี๋ย ก็ได้ถ้าไม่ยอมรับเงิน ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้พี่ใหญ่จะใช้ให้ต้าจางขนมันเทศมาให้ที่นี่สักสองกระสอบ น้องสะใภ้จะเก็บเอาไว้กินเองหรือจะนำไปแลกเปลี่ยนเป็นอะไรกับใครก็แล้วแต่น้องสะใภ้จะจัดการ ให้ถือเสียว่าของพวกนี้พี่ใหญ่ชดเชยให้เรื่องที่อบรมสั่งสอนลูกสาวแบบเสี่ยวเจินได้ไม่ดี”

เมื่อได้ยินว่าจะได้มันเทศสองกระสอบ หานชุยเหยียนที่กำลังกลุ้มใจเรื่องเสบียงอาหารในบ้านเริ่มเหลือลดน้อยลงจึงไม่เอ่ยปฏิเสธ เป็นเพราะเธอรู้ดีว่าบ้านใหญ่มีแรงงานคนเยอะ ย่อมจะไม่ขาดแคลนแต้มคะแนนในการนำไปแลกเสบียงอาหาร

“ในเมื่อพี่ใหญ่พูดถึงขนาดนี้ น้องสะใภ้ขอไม่ปฏิเสธอีกต่อไปแล้วนะคะ แต่อย่าคิดว่าของเหล่านี้เป็นเรื่องการชดเชยความผิดเลยค่ะ ให้คิดเสียว่าเป็นเสบียงอาหารที่พี่ใหญ่มอบให้หลานๆ เอาไว้กินน่าจะดีกว่า พี่ใหญ่วางใจได้ฉันจะบอกลูกสั่งสอนลูกๆ ทุกคนว่าในอนาคตข้างหน้า พวกเขาจะต้องรู้จักกตัญญูตอบแทนบุญคุณที่ท่านลุงใหญ่คอยช่วยเหลือพวกแกในวัยเด็กค่ะ”

สำหรับเถียนเจี้ยนกั๋วที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการหมู่บ้าน และเขายังเป็นหัวหน้าหน่วยสหกรณ์ของหมู่บ้านอีกด้วย แค่เพียงมันเทศสองกระสอบจึงไม่ใช่ของล้ำค่าหายากเกินไปนัก แต่น้องสะใภ้พูดยกยอจนเขาคิดว่าตนเองได้มอบก้อนทองให้แก่น้องสะใภ้ไปเสียแล้ว

เถียนเจี้ยนกั๋วจึงแอบคิดในใจว่า ในวันพรุ่งนี้เขาจะไปลองหาข้าวโพดตากแห้งมามอบให้น้องสะใภ้เพิ่มอีกสักสองสามกระสอบคงจะดีกว่า แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะรู้ดีว่าคนขี้เกรงใจแบบน้องสะใภ้รอง คงจะรีบปฏิเสธไม่ยอมรับของจากเขาอีกเป็นแน่ เขาจึงทำแค่พูดขอตัวลากลับบ้านเพราะเวลาเริ่มจะดึกมากแล้วเท่านั้น…

ก่อนจะนอนคืนนี้หานชุยเหยียนจัดการต้มน้ำร้อนนำนมผงที่มีราคาแพงมากมาชงเพื่อให้ลูกสาวดื่ม เธอก้มมองนมผงที่เหลือติดก้นกระป๋องแล้วพลางถอนหายใจ อดทนอีกสิบกว่าวันเงินเดือนของสามีจึงจะออก ในช่วงนี้คงจะต้องให้ลูกสาวฝืนใจกินอาหารชนิดอื่นแทนไปก่อน

เถียนจิวเมิ่งเห็นแค่เพียงสีหน้ากังวลใจของหานชุนเหยียน จึงพยายามฝืนใจดื่มนมจนหมดแก้ว ทั้งๆ ที่เธอรู้สึกไม่ชอบดื่มนมเป็นที่สุด แต่นมแก้วนี้ก็ไม่ได้มีรสชาติย่ำแย่อย่างที่เธอคาดคิด และรู้สึกว่านมแก้วนี้ไม่เหม็นคาวเลยสักนิด ไม่เหมือนนมที่เธอเคยกินที่ไหนเลย…

เช้าวันต่อมาเถียนจิวเมิ่งตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นมากกว่าเมื่อวาน อาจจะเป็นเพราะการได้นอนหลับเต็มอิ่ม และได้ดื่มนมก่อนนอนจึงมีแรงมากขึ้น เธอเหลือบมองไปยังข้างกายที่เคยมีคุณย่าเถียนนอนเฝ้าเธออยู่ทั้งคืน ในเวลานี้คุณย่าเถียนตื่นนอนและลุกจากที่นอนไปนานแล้ว บนที่นอนทางด้านนอกจึงดูว่างเปล่า

เถียนจิวเมิ่งขยัยตัวลงจากเตียงค่อยๆ ใช้ขาสองข้างที่อ่อนแรงยันพื้นยืนขึ้นมาเพื่อรับน้ำหนักตัวในเวลายืนให้มั่นคงเธอจึงใช้แขนจับเสาเตียงเอาไว้เพื่อพยุงตัว ในตอนนี้เธอกำลังทดสอบแรงกำลังของกล้ามเนื้อของร่างกายนี้ ว่ายังสามารถยืนด้วยตนเองไหวหรือไม่ โดยที่ยังไม่คิดจะก้าวเดินไปที่ไหน

แต่ภาพนี้ก็ทำให้หานชุยเหยียนรู้สึกตกใจจนเกือบจะปล่อยถาดอาหารทิ้งลงบนพื้น “อาเมิ่ง! ลูกลุกขึ้นมาทำไม”

“คุณแม่คะ การนอนอยู่บนเตียงนานมากเกินไปอาจจะทำให้มีโรคแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นได้ค่ะ หนูจำเป็นจะต้องลุกขึ้นนั่งและพยายามยืนด้วยตัวเองบ้างค่ะ ถ้าจะให้ดีหนูควรจะพยายามเดินออกกำลังกายเพื่อทำให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหว กระเพาะอาหารและลำไส้จะได้แข็งแรงมากกว่านี้ค่ะ”

วันนี้เป็นครั้งแรกที่หานชุยเหยียนรู้สึกว่าลูกสาวของตนเองเปลี่ยนไป เพราะปกติลูกสาวของเธอจะไม่ค่อยยอมพูดประโยคยาวๆ แบบนี้ อย่างมากก็แค่ส่ายหน้าแล้วพูดว่าไม่ หรือไม่ก็แค่พยักหน้าแล้วพูดว่าใช่หรือตอบตกลงเท่านั้น

ในชีวิตจริงของเถียนจิวเมิ่งในภพที่เธอจากมา เธอเคยอาศัยอยู่ที่บ้านของคุณตาและคุณยาย หน้าบ้านเปิดเป็นคลินิกขนาดเล็กที่มีคนไข้มารักษาอาการป่วยอยู่เป็นประจำ เด็กสาวที่มีอายุเพียง 17 ปีอย่างเธอจึงพอมีความรู้ทางการรักษาคนไข้ติดตัวมาบ้าง

คุณตาของเธอเป็นนายแพทย์ที่เกษียณอายุราชการแล้ว ส่วนคุณยายเป็นพยาบาลที่ลาออกมาช่วยสามีเปิดคลินิกขนาดเล็กอยู่ในจังหวัดที่เป็นเมืองรองแห่งหนึ่งในภาคเหนือ รายได้ของคลินิกมีไม่มาก แต่ทั้งคู่เปิดกิจการเพื่อที่คุณตาจะได้ทำในสิ่งที่ตัวท่านรักคือการได้รักษาคนไข้ให้หายป่วยได้

การดูแลคนป่วยจะต้องสังเกตดูสีหน้าของคนอื่นให้เป็น เถียนจิวเมิ่งได้เรียนรู้การอ่านสีหน้าคนมาจากคุณตาและคุณยายของเธอ ดังนั้นเธอจึงสังเกตเห็นสีหน้าประหลาดใจของหานชุยเหยียนได้อย่างรวดเร็ว

“คุณแม่คะ ตั้งแต่หนูฟื้นขึ้นมาคล้ายว่าความจำบางอย่างของหนูจะขาดหายไปค่ะ แต่หนูไม่กล้าบอกใคร…”

เถียนจิวเมิ่งตัดสินใจพูดโกหก เพื่อใช้คำโกหกนี้อธิบายทางอ้อมว่าทำไมตัวเธอจึงมีนิสัยไม่เหมือนเดิม

หานชุยเหยียนรีบนำถาดอาหารไปวางบนโต๊ะแล้วเดินมาช่วยพยุงลูกสาวให้นั่งลงบนเตียง เมื่อมองเห็นว่าสีหน้าของเถียนจิวเมิ่งมีเลือดฝาด ไม่ได้ดูซีดเซียวเหมือนหลายวันก่อนหน้านี้ หัวใจที่เต้นรัวของตนเองเมื่อครู่จึงสงบลง

“เมื่อวานที่ไปโรงพยาบาล ทำไมลูกจึงไม่บอกเรื่องนี้ให้คุณพ่อฟัง”

“หนู…ไม่กล้าค่ะ” เถียนจิวเมิ่งก้มหน้าตอบเสียงเบา

ท่าทางขลาดกลัวปนไม่แน่ใจของลูกสาวแบบนี้ เป็นภาพที่คุ้นตาของหานชุยเหยียน เธอจึงรีบเอื้อมมือไปลูบหลังของลูกสาวแล้วพูดปลอบใจว่า

“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวลูกกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว แม่จะออกไปขอยืมรถพาลูกเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อไปหาพ่อของลูกอีกรอบ”

“คุณแม่คะ… พวกเราไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอกค่ะ หนูรู้สึกสบายดีขึ้นมากแล้ว ขอแค่ช่วงนี้อย่าเพิ่งให้หนูกินอาหารมันเลี่ยนพวกผัดผัก ผัดมะเขือเทศใส่ไข่ หรือดื่มน้ำแกงไก่อีกก็พอแล้วค่ะ”

เถียนจิวเมิ่งทำท่าทางขนลุกเมื่อนึกถึงอาหารที่เธออาเจียนออกมาเมื่อคืนนี้

หานชุยเหยียนมองท่าทางของลูกสาวแล้วจึงเผยยิ้มแรกออกมาได้ในรอบหลายวันที่ผ่านมานี้ ในวันนี้ถึงแม้ว่าเถียนจิวเมิ่งจะดูมีท่าทางเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ท่าทางที่ดูมีชีวิตชีวาแบบนี้ ย่อมดูดีกว่าคนที่หม่นหมองไม่ยอมพูดกับใครแม้แต่คำเดียวเป็นไหนๆ เธอจึงตัดสินใจไม่เอ่ยทักท้วงในเรื่องนี้

ในเมื่อลูกสาวพูดว่าจดจำอะไรไม่ค่อยได้ก็ไม่เป็นอะไร ขอแค่เถียนจิวเมิ่งหายป่วยไข้ได้ แล้วกลายเป็นเด็กสาวที่ดูสดใสร่าเริงมากขึ้น เธอก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลุ้มใจแล้ว…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel