บทที่ 4 พูดให้น้อยฟังให้มาก
โรงพยาบาลแห่งนี้มีสมุดปกสีน้ำตาลที่เขียนเกี่ยวกับประวัติคนไข้อย่างละเอียด ช่วงที่หานชุยเหยียนกำลังก้มหน้ากรอกเอกสารอยู่ด้านข้างบุตรสาว เถียนจิวเมิ่งก้มหน้าอ่านเอกสารเกี่ยวกับตนเองด้วยความตกใจ
เถียนจิวเมิ่งคนนี้เกิดในปี ค.ศ.1960 ดังนั้นในปีนี้เธอจึงมีอายุแค่ 13 ปีเท่านั้น เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เธอจึงพยายามยกมือที่อ่อนแรงขึ้นมาลูบคลำบนใบหน้าของตนเองด้วยความอยากรู้ พอดีกับทางด้านขวามือมีหน้าต่างเป็นแผ่นกระจก จึงพอจะเห็นเงาเรือนรางได้
เด็กสาวเถียนจิวเมิ่งคนนี้มีใบหน้าเรียวยาวดวงตากลมโตโหนกแก้มเด่นชัดมาก มิน่าเล่าเธอจึงถูกป้าสะใภ้ใหญ่โจวเหม่ยฟางผู้นั้นเรียกด้วยน้ำเสียงจิกกัดว่าเป็นยัยกุ้งแห้ง
ในสมุดมีประวัติการรักษาและการใช้ยาค่อนข้างยาวมาก มีหลายตัวอักษรที่เธออ่านไม่เข้าใจ จึงทำได้แค่เพียงมองผ่านตาเท่านั้น แต่สมุดปกสีน้ำตาลเล่มนี้แสดงให้เห็นว่าเด็กสาวเถียนจิวเมิ่งคนนี้มีอาการป่วยและจะต้องมารักษาตัวที่โรงพยายาลแห่งนี้บ่อยมาก
สายตาของเถียนจิวเมิ่งเลื่อนมาหยุดอ่านตรงช่องที่มีคำว่าชื่อพี่น้อง เพื่อแสดงว่าไม่มีโรคทางพันธุกรรม มีรายชื่อของเถียนหลี่จิ้งและเถียนอวี้เจี๋ยอยู่ตรงช่องความสัมพันธ์พี่ชายและน้องชาย เธอจึงรับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมมาอีกหนึ่งเรื่องว่า แท้จริงแล้วเด็กสาวเถียนจิวเมิ่งคนนี้เธอยังมีพี่น้องที่เป็นผู้ชายอีกสองคน
ในเวลานี้เถียนจิวเมิ่งรู้สึกมึนงงกับเรื่องราวที่ตนเองกำลังประสบพบเจอเป็นอย่างมาก แต่เธอกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าตัวเธอไม่ใช่เด็กสาวคนเดิม แล้วจะถูกคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นภูตผีปีศาจร้ายมาเข้าสิงร่างของคนอื่น เธอจึงพยายามใช้วิธีการฟังให้มาก พูดให้น้อยเข้าไว้ เพื่อปกปิดเรื่องที่เธอไม่ใช่เถียนจิวเมิ่งคนเดิม…
ภายในห้องตรวจมีแค่เพียงคนในครอบครัวและคนไข้ที่สามารถเข้าอยู่ภายในห้องนี้ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนคนไข้พร้อมทั้งพูดคุยเกี่ยวกับอาการป่วยกับคุณหมอได้
คุณพ่อเถียนเอ่ยถามซักประวัติคนไข้และญาติตามหน้าที่ของคนเป็นหมอ ก่อนที่เขาจะนำกล่องเครื่องมือแพทย์ออกมาเพื่อหยิบเครื่องมือต่างๆ มาใช้ตรวจร่างกายให้แก่เถียนจิวเมิ่ง
“ก่อนออกเดินทางแม่ให้ยัยหนูเมิ่งดื่มน้ำข้าวต้มมาหนึ่งชาม ร่างกายของอาเมิ่งดูอ่อนแรงมากเพราะเมื่อคืนนี้กินอะไรเข้าไปยัยหนูก็อาเจียนออกมาจนหมด มาในวันนี้ถึงจะดีขึ้นจนฟื้นคืนสติแล้ว แต่แม่เห็นสีหน้าแววตาของยัยหนูเมิ่งดูไม่ค่อยดีนัก แม่รู้สึกร้อนใจจนไม่อยากรอให้แกเดินทางกลับไปที่บ้าน”
“คุณแม่พาเสี่ยวเมิ่งมาที่โรงพยาบาลเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว เพราะสามวันนี้ผมไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ ต้องขึ้นเวรแทนคุณหมอหนานที่ถูกเรียกตัวด่วนให้กลับไปประชุมที่โรงพยาบาลศูนย์ ผมกำลังคิดจะใช้ให้อาจิ้งปั่นจักรยานไปบอกคุณแม่และชุยเหยียนที่หมู่บ้านชิงซานอยู่พอดี”
“ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แม่เห็นสีหน้าแววตาของยัยหนูเมิ่งแล้วแม่รู้สึกไม่สบายใจ จึงใช้ให้เมียของแกไปขอยืมรถไถที่สหกรณ์ เพื่อพายัยหนูเมิ่งมาหาแกที่นี่”
หานชุยเหยีนจึงรีบพูดเสียงเบาขึ้นมาว่า “วันนี้ฉันไปขอยืมรถไถที่หน่วยสหกรณ์ของคณะกรรมการหมู่บ้าน ถือว่าเป็นความโชคดีของอาเมิ่ง มีรถไถว่างอยู่หนึ่งคันพอดี ลุงเหอจึงอาสาขับรถไถพาพวกเรามาส่งที่นี่ค่ะ”
“เดี๋ยวผมตรวจรักษาอาการของลูกเสร็จแล้ว จะรีบเดินไปขอบคุณลุงเหอด้วยตนเองอีกรอบ”
“ดีค่ะ” หานชุยเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเห็นด้วยเสียงเบา ก่อนจะรีบหยุดพูดเพราะรู้ว่าผู้เป็นสามีกำลังจะต้องใช้สมาธิในการใช้เครื่องมือแพทย์ตรวจร่างกาย
ในเวลานี้แขนเรียวเล็กของเถียนจิวเมิ่งกำลังถูกเครื่องตรวจวัดความดันพันอยู่รอบแขน คุณหมอเถียนกำลังบีบลูกยางเป่าลมใส่ที่พันแขน แล้วต้องจ้องมองดูแท่งแก้วที่มีสารปรอทวิ่งตามแรงโน้มถ่วงของโลก เธอเคยเห็นเครื่องวัดความดันโลหิตแบบนี้แค่เพียงในตำราเท่านั้น
เถียนจิวเมิ่งเพิ่งจะเคยเห็นของจริงและได้ใช้งานเครื่องวัดความดันแบบปรอทของจริงเป็นครั้งแรก เพราะในยุคที่เธอจากมาเครื่องวัดความดันโลหิตได้ถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องวัดความดันแบบดิจิตอลไปหมดแล้ว
เถียนจาวหยางจัดเก็บอุปกรณ์เครื่องวัดความดันใส่กล่องเครื่องมือแพทย์ แล้วหยิบเทอร์โมมิเตอร์นำออกมาทำความสะอาด สะบัดมันให้พร้อมใช้งานแล้วจึงนำมาสอดเข้าไปในปากของเถียนจิวเมิ่ง
“เสี่ยวเมิ่ง ทำตามที่พ่อบอกนะลูกพยายามอมเอาไว้ใต้ลิ้นแล้วไม่ต้องอ้าปากพูด”
“…” เถียนจิวเมิ่งพยักหน้าแสดงว่าตนเองเข้าใจแล้ว เพราะตัวเธอรู้ดีว่าที่กำลังอมอยู่นี้เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย
ใช้เวลาประมาณสามถึงสี่นาที รอให้แถบปรอทหยุดนิ่ง เถียนจาวหยางจึงนำเครื่องเทอร์โมมิเตอร์ออกจากปาก เพื่อนำมาอ่านค่าอุณหภูมิของร่างกายของบุตรสาวแล้วใช้ปากกาลูกลื่นจดบันทึกผลการตรวจลงสมุดอย่างรอบคอบ
ถ้าหากก่อนหน้านี้เถียนจิวเมิ่งยังแอบรู้สึกสงสัยว่าตัวเองอยู่ในปีค.ศ.1973 จริงๆ หรือไม่ เมื่อเธอมาเจออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ล้าสมัยขนาดนี้ แต่คุณพ่อเถียนยังใช้งานพวกมันอย่างทนุถนอมและระมัดระวังเป็นที่สุด เถียนจิวเมิ่งจึงเลิกคิดสงสัยแล้ว
เถียนจาวหยางจดบันทึกผลการตรวจร่างกายของบุตรสาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงพูดบอกกับคุณย่าเถียนและหานชุยเหยียนด้วยน้ำเสียงสุขุมจริงจังว่า
“ผลการตรวจร่างกายพบว่าเสี่ยวเมิ่งไม่มีไข้ แต่มีสภาวะความดันต่ำ ส่วนเรื่องผลการตรวจเลือด อีกหลายวันจึงจะรู้ผลเพราะทางเราจะต้องนำเลือดไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่ของมณฑลก่อน”
“ลูกความดันต่ำมากอย่างนั้นหรือคะ” หานชุยเหยียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ
“เป็นเรื่องปรกติของคนที่นอนอยู่บนเตียงมานานที่จะมีสภาวะความดันต่ำ ไม่ใช่เรื่องอันตรายอะไร ในเวลานี้โรคสำคัญของเสี่ยวเมิ่งที่พวกเราควรจะใส่ใจมากที่สุดคือโรคขาดสารอาหาร เดี๋ยวจะให้เสี่ยวเมิ่งนอนพักที่นี่เพื่อให้น้ำเกลือจนหมดหนึ่งกระปุกแล้วค่อยพาตัวเธอกลับบ้าน”
“เมื่อสามวันก่อนแม่เคยพยายามบอกแกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ยัยหนูนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลก่อน รอจนหายป่วยเป็นปกติดีแล้ว พวกเราค่อยพายัยหนูกลับบ้าน แล้วเป็นอย่างไรล่ะสุดท้ายก็ต้องรีบร้อนพาคนมาส่งโรงพยายบาลอีกรอบอยู่ดี” คุณย่าเถียนพูดบ่นลูกชายคนรองของตัวเองด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
“แม่ครับ สถานที่ของโรงพยาบาลค่อนข้างคับแคบ มีเตียงนอนไม่เพียงพอ ผมจะต้องพยายามเก็บเตียงคนไข้เอาไว้ให้คนป่วยหนักได้ใช้งานเท่านั้นครับ”
“แล้วยัยหนูเมิ่งป่วยขนาดนี้ยังไม่ใช่ว่าเป็นคนป่วยหนักหรอกรึ ทำไมแกถึงไม่ให้ยัยหนูนอนค้างที่นี่”
“คุณแม่ครับเมื่อหลายวันก่อน ขนาดเสี่ยวเมิ่งหมดสติและเสี่ยงมีสภาวะน้ำท่วมปอด ผมยังให้เธอนอนโรงพยาบาลแค่คืนเดียวเลย เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของผม ทำไมผมจะไม่รู้สึกเป็นห่วงเธอ แต่ในเวลานี้เธอไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วจริงๆ นะครับ โรงพยาบาลมีคนเข้าออกพลุกพล่าน ให้เสี่ยวเมิ่งกลับไปนอนพักผ่อนที่บ้านเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”
เมื่อเถียนจาวหยางพูดกับผู้เป็นมารดาเสร็จ เขาก็หันมาพูดเสียงเบากับหานชุยเหยียนว่า “เดี๋ยวคุณพาลูกกลับไปบ้านแล้วทำอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพให้เธอกิน จะดีกว่าการกินยาวิตามินของที่นี่”
“ได้ค่ะ” หานชุยเหยียนตอบรับเสียงเบา
เมื่อตรวจอาการของลูกสาวอย่างละเอียดเรียบร้อยดีหมดแล้ว เถียนจาวหยางจึงให้คนช่วยพาลูกสาวไปนอนรอที่เตียงผู้ป่วย ก่อนที่เขาจะเรียกคุณพยาบาลซุนให้มาช่วยเสียบสายน้ำเกลือเข้าที่เส้นเลือดแดงบนแขนของเถียนจิวเมิ่ง
เมื่อแน่ใจว่าลูกสาวปลอดภัยดีแล้ว เถียนจาวหยางจึงเพิ่งจะหันมามองใบหน้าของภรรยาได้เต็มตา เขาจึงเพิ่งจะสังเกตเห็นร่องรอยการถูกตบตีที่ใบหน้าของหานชุยเหยียน
“ภรรยา! ที่แก้มของคุณมีรอยช้ำเกิดอะไรขึ้น”
“เอ่อ…” หานชุนเหยียนยกมือขึ้นมาจับที่แก้มของตนเอง แล้วหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากแม่สามี
คุณย่าเถียนมองสบตากับลูกสะใภ้คนรองก่อนจะเอ่ยตอบลูกชายของตนว่า “วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่ของแกมาหาเรื่องเมียของแกและยัยหนูเมิ่งถึงในบ้าน”
เมื่อได้ยินแบบนี้เถียนจาวหยางรีบมาตรวจดูใบหน้าของภรรยาตนเองอย่างใกล้ชิดในทันทีแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปวดใจว่า “พี่สะใภ้ใหญ่รังแกกันมากเกินไปแล้ว ชุยเหยียนถูกตบจนแก้มช้ำขนาดนี้ เห็นทีผมจะต้องไปต่อว่าเธอกับพี่ใหญ่สักหลายคำ”
“จะไปว่าคนอื่นทำไม ยัยเมียของแกก็ไม่ใช่ย่อย แม่บอกแล้วว่าเวลาถูกหาเรื่องให้เจ้าหล่อนหาที่หลบภัยก่อน แต่ที่ไหนได้เมียแกใจกล้าถึงขนาดต่อสู้สุดตัวกับพี่สะใภ้ใหญ่ของแกเชียวนะ”
เถียนจาวหยางแตะแก้มขาวที่มีรอยแดงช้ำของหานชุยเหยียน แล้วถามว่า “คุณเจ็บมากไหม พี่สะใภ้ใหญ่ชอบใช้ความรุรแรงมากขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่อดทนต่อนิสัยร้ายกาจของเธอได้อย่างไร”
เมื่อเห็นบุตรชายทำสีหน้าปวดใจแบบนี้ใส่ลูกสะใภ้คนรอง คุณย่าเถียนพลันรู้สึกหมั่นไส้จึงพูดขัดคอขึ้นมาว่า “ก่อนที่แกจะพูดจาตำหนิเมียของเจ้าใหญ่ ตัวแกควรจะไปเตรียมยาทาแผลนำไปมอบให้คนของเขาด้วย บนแก้มของทางฝ่ายนั้นถึงขั้นมีเลือดไหลซึมออกมาตามรอยถลอกเพราะเมียที่แสนจะอ่อนแอของแกใช้วิธีกางเล็บข่วนคนไปตั้งหลายแผล”
เถียนจาวหยางมองภรรยาผู้เรียบร้อยสุภาพอ่อนโยนของตนเองด้วยสายตาว่าไม่อยากจะเชื่อ จนหานชุยเหยียนต้องก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกอับอาย
“จะว่าไปแล้วแม่ก็เพิ่งจะรู้ว่าเมียของแกชอบใช้ความรุนแรงไม่แตกต่างจากเมียของเจ้าใหญ่ แม่ไม่รู้ว่าพวกแกอดทนกันมาตั้งนานได้อย่างไร”
เถียนจาวหยาง “…”
หานชุยเหยียน “…”
เถียนจิวเมิ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงที่มีผ้าม่านสีขาวกางกั้นสายตาคนนอก เธอมองกระปุกน้ำเกลือขนาดใหญ่ที่ห้อยอยู่บนเสาเหนือศีรษะของตน แล้วฝืนตนเองไม่ให้หลับ เพราะเธออยากจะคอยฟังทุกถ้อยคำของคนด้านนอกเพื่อเก็บข้อมูลที่ได้ยินทุกอย่างนำมาใช้อย่างเต็มที่ในอนาคต…
