บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 ย้อนมาในปี คศ.1973

การเดินทางไปโรงพยาบาลในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการนั่งรถไถครั้งแรกในชีวิตของเถียนจิวเมิ่ง เธอกำลังนั่งอยู่บนรถที่สร้างขึ้นมาแบบง่ายๆ โดยใช้ไม้มาตีติดกันเป็นพื้นรถ มีไม้ไผ่ถูกมัดเป็นคอกกั้นเพื่อป้องกันคนและสิ่งของตกมีการนำล้อมาใส่ข้างใต้พื้น แล้วมีรถไถลากดึงรถไม้คันนี้ให้วิ่งตามไปบนท้องถนนดินที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ บนรถมีคนแปลกหน้าสำหรับเธอกำลังนั่งพูดคุยกันเสียงดัง

ในเวลานี้เถียนจิวเมิ่งนั่งอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของหานชุยเหยียน หนทางขรุขระทำให้ตัวรถเขย่าไปมาอย่างรุนแรง แต่อ้อมแขนที่ผอมบางของหานชุยเหยียนช่วยกอดรัดตัวเธอเอาไว้อย่างแน่นหนาเป็นการปกป้องบุตรสาวอย่างเต็มที่ ทำให้เถียนจิวเมิ่งรู้สึกอบอุ่นภายในหัวใจอย่างประหลาด

คุณย่าเถียนนั่งพูดคุยกับทุกคนด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดัง เถียนจิวเมิ่งฟังแล้วจับใจความได้ว่าคุณย่าของเธอผู้นี้ เป็นผู้กว้างขวางคนหนึ่งในหมู่บ้านชิงซาน เพราะคุณย่าเถียนมีลูกชายคนโตที่มีชื่อว่าเจี้ยนกั๋วทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยสหกรณ์ของหมู่บ้าน

เถียนจิวเมิ่งแอบเหล่ตาไปมองโจวเหม่ยฟางที่กำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาเป็นอริ ผู้หญิงอวบอ้วนคนนี้เป็นป้าสะใภ้ใหญ่ของเธอ ดังนั้นจึงหมายความว่าผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของเถียนเจี้ยนกั๋วที่ทุกคนกำลังพูดถึงอยู่ด้วยน้ำเสียงชื่นชม

“แม่ของเจี้ยนกั๋ว คุณไม่รู้อะไรเมื่อหลายวันก่อนทางเมืองใหญ่ส่งยุวชนหลายคนมาเป็นแรงงานที่หมู่บ้านเรา แต่คุณก็รู้ว่าหมู่บ้านพวกเราไม่ได้ขาดแคลนแรงงาน เถียนเจี้ยนกั๋วจึงเป็นตัวแทนของพวกเราชาวบ้าน นำเรื่องนี้ไปพูดในที่ประชุมในอำเภอว่าหมู่บ้านของเราไม่ได้ขาดแคลนกำลังคน แต่ขาดแคลนอาหารมากยิ่งกว่า ทางการส่งคนมาช่วยเหลือพวกเราแบบนี้ เป็นการแก้ไขไม่ถูกจุด มิหนำซ้ำหมู่บ้านของพวกเรายังต้องแบ่งปันอาหารเลี้ยงเพื่อเลี้ยงดูยุวชนเหล่านั้นอีกด้วย ถ้าหากทางเมืองใหญ่อยากจะช่วยเหลือพวกเราที่เป็นชาวบ้านด้วยใจจริงก็ขอให้ส่งเสบียงเสริมมาช่วยเหลือพวกเราแทนจะเป็นการกระทำที่ดีกว่า”

“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยหรือสะใภ้หม่า ตัวฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย เพราะเจ้าใหญ่เวลาที่เขากลับมาถึงบ้านก็รีบกินข้าวแล้วรีบหลบหนีไปนอนพักอย่างเดียว เขาไม่เคยเล่าอะไรให้คนในบ้านฟังแม้แต่เรื่องเดียว พวกเราเลยไม่รู้ว่าในแต่ละวันที่หน่วยสหกรณ์ในหมู่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาบ้าง”

เมื่อคุณย่าเถียนพูดแบบนี้สายตาหลายคู่จึงหันไปมองโจวเหม่ยฟางที่เนื้อตัวสกปรกราวกับคนที่ไม่ชอบอาบน้ำ คำพูดจาก็ระคายหูคนฟัง จึงไม่น่าแปลกใจที่เถียนเจี้ยนกั๋วไม่อยากจะพูดคุยอะไรกับคนในบ้านแม้แต่คำเดียว

“ทุกคนมองอะไร ในแต่ละวันฉันจะต้องออกไปทำงานแลกแต้มคะแนน เพื่อนำแต้มคะแนนมาแลกเสบียงให้ทุกคนในบ้านกิน การทำงานในแต่ละวันค่อนข้างหนัก เมื่อตัวฉันเดินเท้ากลับมาถึงบ้านก็รู้สึกเหนื่อยกายมากแล้ว สามีจึงไม่อยากนำเรื่องนอกบ้านมาพูดกับฉันให้ต้องรู้สึกเหนื่อยใจเพิ่มขึ้นอีก ฉันไม่ได้ทำตัวเป็นคุณนายน้อยหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ในแต่ละวันแค่เพียงลงมือทำอาหารและทำความสะอาดบ้าน นิ้วมือนิ้วเท้าของฉันจึงไม่สะอาดสะอ้านเหมือนกับมือเท้าของน้องสะใภ้”

“หึ! เจ้าจะนำตนเองมาเปรียบเทียบกับเมียเจ้ารองได้อย่างไร เธอเป็นคนมีความรู้สามารถช่วยทำบัญชีได้ ช่วยสอนหนังสือให้เด็กทุกคนในหมู่บ้านได้ อีกอย่างถ้าไม่ติดตรงที่ว่าอาเมิ่งป่วยหนักเพราะยัยลูกสาวตัวดีของหล่อน ในช่วงเวลาที่ยุ่งแบบนี้เมียเจ้ารองคงจะได้ไปช่วยทุกคนทำบัญชีที่สหกรณ์ได้แล้ว คนที่มีความรู้แบบเธอไม่ต้องใช้แรงกายให้เหน็ดเหนื่อยก็ได้แต้มแรงงานเยอะกว่าตัวขี้เกียจอย่างหล่อน!”

โจวเหม่ยฟางบีบน้ำตาใช้มือทุบขาของตนเองแล้วแหกปากพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจว่า “ใช่สิ! ฉันมันคนไร้ความรู้ไม่ใช่อดีตยุวปัญญาชนแบบสะใภ้รอง จึงพูดไม่ไพเราะประจบเอาใจแม่สามีไม่เก่ง ท่านถึงได้ลำเอียงไปทางครอบครัวของน้องรองแบบนี้ น่าสงสารก็แต่ต้าจางกับเสี่ยวเจินของฉัน ที่มีอะไรล้วนแต่ด้อยกว่าพี่ชาย น้องชายและน้องสาวจากบ้านรองของพวกเขาแทบทุกอย่าง ฮือๆ”

คุณย่าเถียนมีสีหน้ามืดครึ้มจ้องมองโจวเหม่ยฟางด้วยสายตาโกรธเคือง ที่ลูกสะใภ้นำเรื่องราวภายในบ้านออกมาพูดโพทะนาแบบนี้ แต่ทว่าคุณย่าเถียนพยายามสะกดกลั้นโทสะของตนเองเอาไว้ เพราะไม่อยากทะเลาะกับลูกสะใภ้คนโตต่อหน้าคนอื่นๆ

ป้าสะใภ้จูเป็นผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้มาช่วยอุ้มเถียนจิวเมิ่งย้ายจากเตียงมานั่งบนรถเข็นไม้ เธอเป็นสหายสนิทของหานชุยเหยี่ยนจึงรีบพูดช่วยเหลือผู้เป็นสหายว่า

“พี่สะใภ้ใหญ่เถียนพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก เท่าที่ฉันมองเห็นด้วยสายตาในแต่ละวันสหายชุยเหยียนไม่เคยประจบเอาใจท่านป้าเถียนแม้แต้น้อย แต่เธอเป็นคนมีมารยาท พูดจาไพเราะไม่ขัดหูคน ที่สำคัญก็คือสหายชุยเหยียนเป็นคนขยัน เธอทำงานในบ้านแบบไม่เคยหยุดพัก บ้านสกุลเถียนจึงได้สะอาดและมีแปลงผักให้กินแบบไม่ขาดแคลนเกือบตลอดทั้งปี แล้วถ้าคุณย่าเถียนจะลำเอียงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พี่สะใภ้ใหญ่เถียน…คุณควรปรับปรุงตังเองได้แล้ว”

มีหญิงชาวบ้านอีกคนที่เรียกแทนตนเองว่าป้าเหอกับเถียนจิวเมิ่งพูดเสริมขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว สะใภ้จูพูดถูกต้อง สะใภ้รองเถียนทำงานบ้านเพียงคนเดียวทุกอย่าง ไหนจะเลี้ยงไก่ที่ขังอยู่ในกรงตั้งหลายสิบตัว แล้วยังต้องเลี้ยงหมูในเล้าที่อยู่ด้านหลังบ้านอีก นั่นเป็นงานสะอาดที่เสียที่ไหนกัน เรื่องเนื้อตัวสะอาดหรือไม่นี้ ฉันคิดว่าขึ้นอยู่กับอนามัยและความรักความสะอาดของแต่ล่ะบุคคลเสียมากกว่า อย่าลืมสิว่าตัวฉันเองก็ทำงานหนักใช้แรงงานเหมือนกันกับสะใภ้ใหญ่เถียนแทบทุกอย่าง บางอย่างฉันทำมากกว่าเธอด้วยซ้ำไป เพราะสะใภ้ใหญ่เถียนชอบแอบอู้งาน”

โจวเหม่ยฟางร้องไห้แบบไร้น้ำตา แต่เมื่อหรี่ตามองคนอื่นๆ จึงเห็นว่าไม่มีใครเข้าข้างตัวเองแม้แต่คนเดียว เธอจึงใช้มือสกปรกมาเช็ดใบหน้าของตนแก้เก้อ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ารอยแผลถลอกและรอยเปรอะเปื้อนคราบดำบนใบหน้ายิ่งทำให้ทุกคนไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ตัวเธอเข้าไปใหญ่

การเดินทางโดยรถไถเขย่าตัวของเถียนจิวเมิ่งคลอนแคลนไปมานานเกือบถึงสองชั่วโมง จึงเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในตัวอำเภอ เถียนจิวเมิ่งเหม่อมองดูอาคารไม้ชั้นเดียวที่ทุกคนเรียกว่าโรงพยาบาลด้วยสีหน้าตกตะลึง เพราะอนามัยขนาดเล็กประจำตำบลของเมืองไทยยังมีขนาดใหญ่กว่าโรงพยาบาลของที่นี่เสียอีก

และยิ่งทำให้เถียนจิวเมิ่งตกอยู่ในสภาวะช็อกยิ่งกว่านั้นก็คือ การเขียนกรอกเอกสารของโรงพยาบาล จึงทำให้เธอมองเห็นวันเดือนปีของวันนี้ว่าเป็น วันพุธที่ 9 เดือนมีนาคม ปีค.ศ. 1973

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร แต่เถียนจิวเมิ่งได้ย้อนเวลามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชิงซานในช่วงเวลาของอดีตในปีค.ศ.1973

แล้วยังได้มาอยู่ในร่างของหญิงสาวคนนี้ ที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเธอเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำยังมีชื่อเหมือนเธอทุกตัวอักษร

คุณหมอเถียนในโรงพยาบาลแห่งนี้ก็รู้จักกับเธอเป็นอย่างดี เพราะเขาคือเถียนจาวหยางเป็นบุตรชายคนรองของคุณย่าเถียน เขาเป็นสามีของหานชุยเหยียน และที่สำคัญมากที่สุดเขาก็คือคุณพ่อเถียนของเธอ…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel